เมื่อเวลา 13.00 น. วันที่ 22 เม.ย. 2567 ที่พรรคก้าวไกล นายธนาธร จึงรุ่งเรืองกิจ ประธานคณะก้าวหน้า แถลงเปิดตัวแคมเปญ สว.ประชาชน ของคณะก้าวหน้า พร้อมกล่าวว่า เราเล็งเห็นความสำคัญของการเลือกสว.ในช่วงเดือน มิ.ย.-ก.ค. จึงอยากเชิญชวนประชาชนให้มีส่วนร่วมเลือกตั้งสว.ครั้งนี้ โดยเป็นหนึ่งในผู้สมัครรับเลือกตั้ง ที่ผ่านมาเราจึงรณรงค์แคมเปญนี้มาอย่างต่อเนื่อง เพื่อให้ข้อมูลประชาชนได้เข้าใจการเลือกตั้งสว.มากยิ่งขึ้น
1) นายธนาธร กล่าวว่า ประเทศไทยได้พยายามแก้ไขรัฐธรรมนูญ ปี 2560 โดยเฉพาะเรื่องการปิดสวิตช์สว.อยู่หลายครั้ง แต่ก็ไม่สำเร็จ ขณะที่ ร่างแก้ไขรัฐธรรมนูญฉบับเดียวที่ได้รับการแก้ไข คือ เรื่องระบบการเลือกตั้งและบัตรเลือกตั้ง 2 ใบ เมื่อวันที่ 10 ก.ย. 2564 จึงสะท้อนว่าแม้ปัจจุบัน พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา จะไม่ได้ดำรงตำแหน่งนายกฯ แล้ว แต่ระบอบรัฐประหารยุคนั้นยังอยู่ ด้วยเหตุนี้ โอกาสที่จะทำให้สว. เห็นด้วยกับการแก้ไขรัฐธรรมนูญ แทบจะเป็นไปไม่ได้เลย เพราะต้องได้รับความเห็นชอบ 1 ใน 3 ของเสียงสว.ทั้งหมด
ก่อนยกตัวอย่างถึงกระบวนการต่างๆที่ไม่ได้มาตรฐาน โดยหยิบยกเรื่องการเปลี่ยนแปลงสูตรคำนวณ สส.บัญชีรายชื่อ ของคณะกรรมการการเลือกตั้ง (กกต.) และการตรวจสอบของคณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตแห่งชาติ (ป.ป.ช.) ขึ้นมาด้วยว่า 2 กรณีนี้ไม่สามารถทำให้เราหลุดพ้นจากการสืบทอดอำนาจรัฐประหารออกได้ เพราะไม่ได้ใช้มาตรฐานเดียวกันตัดสิน ขณะที่ทั้งตุลาการศาลรัฐธรรมนูญ ป.ป.ช. กสทช. และ กกต. กรรมการหลายท่านก็ถูกแต่งตั้งขึ้นโดยสว.
นี่จึงเป็นเหตุผลว่าเหตุใดสว.ถึงมีความสำคัญ เพราะปัจจุบันสังคมเราอยู่กันแบบ 2 มาตรฐาน ฉะนั้น หากทำให้ทุกองค์กรกลับมายืนอยู่ในความยุติธรรม ไม่เลือกปฏิบัติ เชื่อว่านี่จะเป็นจุดเริ่มต้นที่ทำให้ประเทศไทยอยู่กันอย่างสมานฉันท์และปรองดองได้แน่นอน
จึงคิดว่าระบอบรัฐสภาและการเลือกตั้งสว.น่าจะเป็นกระบวนการที่ดีที่สุดในการแก้ไขปัญหาดังกล่าว เพื่อคลายปมต่างๆ ที่เกิดขึ้นในสังคมไทย โดยเฉพาะการแก้ไขรัฐธรรมนูญ ตนอยากขอแรงจากทุกท่านช่วยกันผลักดันสว.ของประชาชน ให้เข้าไปดำรงตำแหน่งในรัฐสภา เพราะหากไม่สามารถผลักดันได้สำเร็จ ต้องรอไปอีก 5 ปี จนกว่าสว.ปี’67 จะหมดวาระ
2) นายธนกร วังบุญคงชนะ อดีตรัฐมนตรีประจำสำนักนายกฯ สส.แบบบัญชีรายชื่อและรองหัวหน้าพรรครวมไทยสร้างชาติ (รทสช.)กล่าวว่า จากที่ นายธนาธร จึงรุ่งเรืองกิจ ประธานคณะก้าวหน้าเดินสายจัดเสวนาในพื้นที่ภาคใต้หลายจังหวัด และเปิดแคมเปญชวนคนสมัคร สว.เพื่อจะเลือกกันเองเข้าไปในสภา โดยอ้างว่าที่ผ่านมายังไม่เป็นประชาธิปไตย ทั้งที่เราผ่านการเลือกตั้งกันมาแล้ว เมื่อวันที่ 14 พ.ค.2566 จึงตั้งข้อสังเกตว่าการเดินสายเชิญชวนให้ประชาชนบางกลุ่มลงสมัคร สว. ของนายธนาธร คณะก้าวหน้า รวมถึงแกนนำและสส.ของพรรคก้าวไกลในครั้งนี้ มีนัยแอบแฝงบางอย่างที่หลายฝ่ายตั้งข้อสังเกตว่า อาจเป็นวิธีการจัดตั้งในการเลือกสว. หรือการฮั้วเลือกกันเองหรือไม่ ซึ่งขอให้ประชาชนช่วยกันตรวจสอบในเรื่องนี้ด้วย
นอกจากนี้ ยังพบว่า นายธนาธร มีการบิดเบือน ใช้วาทกรรมทางการเมืองหวังสร้างความแตกแยกจุดกระแสให้ประชาชนโดยอ้างว่ารัฐธรรมนูญปี 2560 ให้อำนาจสว. เลือกผู้ที่จะมาดำรงตำแหน่งในองค์กรอิสระต่างๆ ทำให้การทำหน้าที่ขององค์กรอิสระที่เลือกมานั้น รับใช้ผู้มีอำนาจทางการเมือง ตัดสินแบบ 2 มาตรฐาน และยังกล่าวหาว่าเป็น “ระบอบประยุทธ์” ทั้งที่จริงแล้ว สว.ปี 2560 ก็มีสัดส่วนที่ กกต.ใช้กระบวนการให้เลือกกันเองจาก 10 สาขาวิชาชีพ เหมือนกับครั้งนี้ แค่สัดส่วนไม่มากเท่า
ที่สำคัญองค์กรอิสระ เช่น ตุลาการศาลรัฐธรรมนูญ มีที่มาจากการเลือกในที่ประชุมใหญ่ผู้พิพากษาศาลฎีกา ที่ประชุมใหญ่ศาลปกครองสูงสุด ซึ่งมีผู้ทรงคุณวุฒิสายราชการและสายวิชาการ รวมถึงคณะกรรมการสรรหามีทั้งประธานศาลฎีกา ประธานศาลปกครองสูงสุด ประธานสภาผู้แทนราษฎร และผู้นำฝ่ายค้านด้วย ซึ่งเป็นมาตั้งแต่รัฐธรรมนูญปี 2540 แล้วไม่ใช่เริ่มในฉบับปี 2560 สมัยพลเอกประยุทธ์ ตามที่นายธนาธรกล่าวอ้างเลย
“ผมขอเรียกร้องให้นายธนาธร ทบทวนและเปลี่ยนแนวทางการเคลื่อนไหวทางการเมืองเสียใหม่ ตามที่อ้างว่าเป็นพรรคคนรุ่นใหม่ แต่ยังใช้วิธีทางการเมืองแบบเดิมๆ เป็นการพูดเอาดีเข้าตัว เอาชั่วป้ายสีใส่คนอื่นยังเวียนวนบิดเบือนกล่าวหาไปถึงพลเอกประยุทธ์จันทร์โอชา อดีตนายกฯ ไม่เลิก แบบไม่สนใจความจริงเป็นการบิดเบือนอย่างหน้าตาเฉย เป็นเหมือนคนทำผิดแล้วพาลใส่ร้ายตุลาการศาลรัฐธรรมนูญ ลดทอนด้อยค่าองค์กรอิสระ หลับหูหลับตาท่องเป็นแต่คำว่า ประชาธิปไตย ทั้งที่เราผ่านการเลือกตั้งกันมาหมดแล้วทั้งปี 2562 และ 2566
...จึงตั้งข้อสังเกตว่า หรือเป็นเพราะนายธนาธรเจ็บแค้นศาลรัฐธรรมนูญหรือไม่ ที่มีคำสั่งยุบพรรคอนาคตใหม่ และอยู่ระหว่างพิจารณาคำร้องของกกต.ที่ยื่นยุบพรรคก้าวไกลด้วย รวมถึง คณะกรรมการป.ป.ช.ที่นายธนาธรระบุออกมาว่า ตัดสิทธิ์ทางการเมืองตลอดชีวิตน.ส.พรรณิการ์ วานิช และกำลังตรวจสอบ 44 สส.ก้าวไกลผิดจริยธรรมที่ยื่นเสนอแก้ม.112 ว่าเป็นการกลั่นแกล้งนักการเมือง ผมเชื่อว่าคนไทยทั้งประเทศคงได้เห็นเจตนาแอบแฝงของนายธนาธรว่าต้องการอะไรกันแน่” นายธนกร กล่าว
3) นายสมชาย แสวงการ สว. กล่าวเรียกร้องให้คณะกรรมการการเลือกตั้ง (กกต.) เริ่มปฏิบัติหน้าที่ในการกำกับและดูแลให้การเลือกกันเองของสว.ชุดใหม่ เป็นไปตามเจตนารมณ์ของรัฐธรรมนูญ แม้ขณะนี้ยังไม่มีพระราชกฤษฎีกากำหนดการเลือกสว. เนื่องจากขณะนี้มีคณะบุคคล และตัวแทนของพรรคการเมือง มีกระบวนการรณรงค์ให้ประชาชนสมัครเข้าไปเป็นผู้เลือก สว. ซึ่งส่อว่าจะขัดกับรัฐธรรมนูญและกฎหมายประกอบรัฐธรรมนูญว่าด้วยการได้มาของ สว.
ล่าสุดนั้น มีความเคลื่อนไหวของ นายธนาธรจึงรุ่งเรืองกิจ หัวหน้าคณะก้าวหน้า ซึ่งเป็นผู้ที่ถูกตัดสิทธิทางการเมือง เดินสายรณรงค์ให้คนสมัครเป็นผู้เลือก สว. ในพื้นที่ใน จ.นครศรีธรรมราช เพื่อให้ผู้เลือก สว.ได้สิทธิลงคะแนนเลือกคนที่จะเป็น สว.
“เจตนารมณ์ของรัฐธรรมนูญต่อการได้มาของ สว. คือต้องเป็นผู้ประสงค์จะเป็น สว. ไม่ใช่เข้าไปเป็นผู้เลือก สว. ซึ่งกรณีดังกล่าวถือว่าเข้าข่ายฮั้วในกระบวนการเลือกกันเองของ สว. หาก กกต. ไม่ดำเนินการ เชื่อว่าจะมีปัญหาในกระบวนการได้มาของ สว. มีผู้ไปร้องเรียนในกระบวนการ ที่อาจทำให้เกิดปัญญาในอนาคตได้” นายสมชาย กล่าว
3) นายธีรยุทธ สุวรรณเกษร ทนายความอิสระ ยื่นเรื่องร้องเรียนต่อผู้ตรวจการแผ่นดินผ่านนายปิยะ ลือเดชกุล ผู้อำนวยการสำนักตรวจสอบเรื่องร้องเรียนขอให้พิจารณาเสนอเรื่องไปศาลรัฐธรรมนูญพิจารณาวินิจฉัย กรณีพระราชบัญญัติประกอบรัฐธรรมนูญว่าด้วยการได้มาซึ่งสมาชิกวุฒิสภา พ.ศ.2561 ม.40, ม.41 และ ม.42 ขัดหรือแย้งต่อรัฐธรรมนูญ ม.107 หรือไม่
โดยผู้ร้องเห็นว่าเจตนารมณ์แห่งรัฐธรรมนูญมาตรา 107 ที่บัญญัติว่า “มาตรการอื่นใดที่จำเป็นเพื่อให้การเลือกกันเองเป็นไปโดยสุจริตและเที่ยงธรรม” ต้องบัญญัติมาตรการเพื่อป้องกันผู้สมัครรับเลือกเป็นสมาชิกวุฒิสภามีการสมยอมกันในการเลือกกันเองโดยไม่เลือกตนเอง ต้องสันนิษฐานว่ามีการสมยอมกันในการเลือก และถือว่าการเลือกไม่เป็นไปโดยสุจริตหรือเที่ยงธรรมจึงบัญญัติไว้ในพระราชบัญญัติประกอบรัฐธรรมนูญว่าด้วยการได้มาซึ่งสมาชิกวุฒิสภา พ.ศ.2561 มาตรา 94 (7) มาตรา 95 (7) และมาตรา 96 (4) แต่ปรากฏว่า มาตรา 40 (1)-(8) การเลือกกันเองระดับอำเภอ, มาตรา 41 (1)-(8) การเลือกกันเองระดับจังหวัด และมาตรา 42 (1) ถึง (6) การเลือกกันเองระดับประเทศ กลับไม่มีบทบัญญัติที่กำหนดมาตรการเพื่อป้องกันผู้สมัครรับเลือกเป็นสมาชิกวุฒิสภามีการสมยอมกันในการเลือกกันเองโดยไม่เรียกตนเองต้องสันนิษฐานว่ามีการสมยอมกันในการเลือกและถือว่าการเลือกไม่เป็นไปโดยสุจริตและเที่ยงธรรมจึงเป็นการบัญญัติที่อาจทำให้การเลือกสมาชิกวุฒิสภาเฉพาะในขั้นตอนผู้สมัครเลือกกันเองไม่เป็นไปโดยสุจริตและเที่ยงธรรมมีผลให้บทบัญญัติกฎหมายดังกล่าวตราขึ้นโดยขัดหรือแย้งต่อรัฐธรรมนูญมาตรา 107
4) น่าสนใจว่า กกต. จะดำเนินการในเรื่องเหล่านี้อย่างไร ในเมื่อ การเลือก สว. กำหนดไว้ชัดว่า มิให้พรรคการเมืองเข้ามาเกี่ยวข้อง แต่กลุ่มก้าวหน้า ซึ่งใช้พื้นที่ของพรรคก้าวไกลในการแถลงข่าว และเคลื่อนไหวประดุจเป็นพรรคการเมืองหนึ่ง เดินสายปลุกคนให้มาสมัคร สว. เหมือนใช้ช่องว่างระหว่างที่ยังไม่มีกฎหมาย เคลื่อนไหวอย่างโจ่งแจ้ง
5) ชัดเจนว่า นายธนาธร ซึ่งเป็นหัวหน้าพรรคอนาคตใหม่เดิม ก่อนถูกยุบพรรค และกลายเป็นพรรคก้าวไกล ยังมีอิทธิพลต่อพรรคก้าวไกลมาก และขับเคลื่อนกลุ่มก้าวหน้า เพื่อประโยชน์ของพรรคก้าวไกลตลอดมา เขาเหล่านี้กำลังเดินเกมยึดกุมอำนาจประเทศไทย ผ่านความนิยมของพรรคก้าวไกล ที่แม้จะถูกยุบพรรคไป ต้องตั้งพรรคใหม่ ความนิยมก็ไม่น่าจะเสื่อมถอยลง ในการเลือกตั้งครั้งหน้า น่าจะได้ สส. มากเหมือนเดิม หรืออาจมากกว่าเดิม
อีกทางหนึ่ง ก็เห็นความพยายามจะยึดครองเก้าอี้นายก อบจ. ในจังหวัดต่างๆ ด้วยการเดินสายเปิดตัว และการดึงเอาคนได้คะแนนลำดับสองจากการเลือกตั้ง สส. ครั้งที่ผ่านมา มาเป็นผู้สมัคร
ลองคิดดูเถิดว่า อบจ. + สส. + สว.
ความฝันที่ว่า กาก้าวไกล ประเทศไทยไม่เหมือนเดิม ซึ่งความพยายามนี้ ไม่เคยหยุดนิ่งเลย จะเกิดผลอย่างไรในวันข้างหน้า
โดยเฉพาะในวันที่นายธนาธร ครบกำหนดการถูกตัดสิทธิแล้วหวนกลับมาสู่เวทีการเมือง...อีกครั้ง!!
เงื่อนไขการแสดงความคิดเห็น ซ่อน
โปรดอ่านก่อนแสดงความคิดเห็น
1.กรุณาใช้ถ้อยคำที่ สุภาพ เหมาะสม ไม่ใช้ ถ้อยคำหยาบคาย ดูหมิ่น ส่อเสียด ให้ร้ายผู้อื่น สร้างความแตกแยกในสังคม งดการใช้ถ้อยคำที่ดูหมิ่นหรือยุยงให้เกลียดชังสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์
2.หากพบข้อความที่ไม่เหมาะสม สามารถแจ้งได้ที่อีเมล์ online@naewna.com โดยทีมงานและผู้จัดทำเว็บไซด์ www.naewna.com ขอสงวนสิทธิ์ในการลบความคิดเห็นที่พิจารณาแล้วว่าไม่เหมาะสม โดยไม่ต้องชี้แจงเหตุผลใดๆ ทุกกรณี
3.ขอบเขตความรับผิดชอบของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ อยู่ที่เนื้อหาข่าวสารที่นำเสนอเท่านั้น หากมีข้อความหรือความคิดเห็นใดที่ขัดต่อข้อ 1 ถือว่าเป็นกระทำนอกเหนือเจตนาของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ และไม่เป็นเหตุอันต้องรับผิดทางกฎหมายในทุกกรณี