พูดกันเสียให้ชัดว่า “การปรับคณะรัฐมนตรี” ครั้งนี้ ไม่ใช่การจัดการของ “นายเศรษฐา ทวีสิน” เพราะนายเศรษฐาเป็นแค่ “นายกฯนอมินี” เป็นแค่“หุ่นเชิด” เป็นแค่ “ตัวแสดงแทน” ไม่ใช่แม้แต่ “ตัวแทน” ของอำนาจตระกูล “ชินวัตร” แม้จะมีเสียงลือเสียงเล่าอ้างว่า ในอดีต นายเศรษฐาเกือบจะเป็นทองแผ่นเดียวกับหญิงสาวในตระกูลชินวัตรมาก่อนก็ตาม
การปรับคณะรัฐมนตรีชุดนี้ จึงสะท้อนการ “สนองตอบ” ความต้องการของนักโทษเด็ดขาดชายทักษิณ ชินวัตร อย่างชัดเจน สะท้อน “วิธีจัดการบ่าวไพร่” ของนายทักษิณอย่างชัดเจน นายเศรษฐาไม่ได้มีอำนาจใดๆที่จะตัดสินใจเอาคนนั้นออก เอาคนนี้เข้า แม้กระทั่งอำนาจที่จะจัดการตัวเอง!
ถ้าเรียนรู้จากอดีตที่ผ่านมา จะพบว่า ทักษิณมีวิธีจัด ครม. 3 แบบ
1.สนองตอบนายทุนที่กล้าลงทุน
2.เอาใจพวกเดนตายที่พลีชีพเพื่อทักษิณ
3.ให้โอกาสคนที่พร้อมรับใช้
รัฐมนตรี 2 คน ที่ถูกกล่าวถึงมากที่สุด หลังการโปรดเกล้าฯ คือ นายแพทย์ชลน่าน ศรีแก้ว ที่ถูกปลดจากเก้าอี้รัฐมนตรีว่าการกระทรวงสาธารณสุข กับนายปานปรีย์ พหิทธานุกร ที่ยื่นใบลาออกเอง หลังทราบว่า ถูกริบเก้าอี้รองนายกรัฐมนตรี เหลือแค่เก้าอี้รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการต่างประเทศ
1) นายเทพไท เสนพงศ์ อดีต สส. ที่ผันตัวมาเป็นนักวิเคราะห์การเมือง ให้ความเห็นว่า
“ในความเป็นจริงไม่จำเป็นต้องปรับนายปานปรีย์ออกจากตำแหน่งรองนายกรัฐมนตรีก็ได้ เพราะการควบรองนายกรัฐมนตรีกับรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการ
ต่างประเทศ ไม่ได้ทำให้จำนวนรัฐมนตรีเพิ่มขึ้น ซึ่งตามรัฐธรรมนูญกำหนดให้คณะรัฐมนตรีมีจำนวน 36 คน จะให้ใครควบกี่ตำแหน่ง ก็ไม่ขัดกับรัฐธรรมนูญแต่อย่างใด
เพราะฉะนั้นการที่ให้คุณปานปรีย์ เป็นรองนายกรัฐมนตรีกับรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการต่างประเทศ ก็ไม่น่าจะเป็นเรื่องที่เสียหาย แต่ไม่เข้าใจว่าทำไมต้องไปลดตำแหน่งรองนายกรัฐมนตรี และไปเพิ่มตำแหน่งให้กับนายพิชัย ชุณหวชิร กับนายสุริยะ จึงรุ่งเรืองกิจ ซึ่งถ้าจะเพิ่มตำแหน่งรองนายกรัฐมนตรีให้ 2 คนดังกล่าวก็ได้ แต่ก็ไม่จำเป็นลดตำแหน่งของคุณปานปรีย์ให้เสียความรู้สึกกัน”
2) ว่ากันว่า “ปานปรีย์” เป็นเด็กสายคุณหญิงพจมาน ณ ป้อมเพชร ไม่ใช่สายตรงของทักษิณ และไม่สนองความต้องการในการเตรียมการ “พายิ่งลักษณ์กลับบ้าน” ทั้งเรื่องหนังสือเดินทาง (พาสปอร์ต) กับเรื่อง “จะใช้สถานทูตไทยในต่างประเทศ ให้ “ยิ่งลักษณ์”ใช้รายงานตัว ตามขั้นตอนของกฎหมาย เมื่อเดินเรื่องทำเอกสารต่างๆ เรียบร้อย ก็จะเดินทางกลับไทย”
3) นายปานปรีย์ พหิทธานุกร รมว.ต่างประเทศ ซึ่งระหว่างการพักให้น้ำเกลืออยู่ที่โรงพยาบาล ให้สัมภาษณ์ถึงข่าวการยื่นหนังสือขอลาออกจากตำแหน่ง รมว.การต่างประเทศ หลังจากมีการปรับคณะรัฐมนตรี โดยให้นายปานปรีย์พ้นจากตำแหน่งรองนายกรัฐมนตรี เหลือเพียงตำแหน่งรมว.การต่างประเทศ ว่า เป็นเอกสารจริง โดยจากนี้ ตนจะยื่นให้กับนายกรัฐมนตรีเพื่อรักษาหลักการของการทำงานเท่านั้น ทั้งนี้ แม้การปรับครม.เป็นอำนาจของนายกรัฐมนตรี แต่ในการทำงานในตำแหน่งรมว.การต่างประเทศนั้น ส่วนมากจะมีตำแหน่งรองนายกรัฐมนตรีพ่วงด้วย เพื่อที่เวลาเดินทางไปปฏิบัติราชการหรือเจรจาใดๆ ในต่างประเทศ จะได้มีเกียรติและสามารถดำเนินการได้ราบรื่นมากขึ้น ซึ่งที่ผ่านมาไทยก็มีผู้ดำรงตำแหน่งรองนายกรัฐมนตรีที่พ่วงกับรมว.การต่างประเทศ
4) ย้อนดูครั้งรัฐบาล “ลุงตู่” พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา แรกทีเดียวก็ให้ “นายดอน ปรมัตถ์วินัย” เป็น รมว.การต่างประเทศ เพียงตำแหน่งเดียว ตอนหลังยังต้องให้นั่งควบรองนายกฯ อีกตำแหน่งหนึ่ง หรือในรัฐบาลยิ่งลักษณ์ ชินวัตร เอง ตอนแรก ก็ให้“ดร.ปึ้ง”สุรพงษ์ โตวิจักษณ์ชัยกุล เป็น รมว.การต่างประเทศเพียงตำแหน่งเดียว แต่ตอนหลังก็ให้ควบรองนายกฯ ด้วยเช่นกัน ในเรื่องนี้ จึงถือว่านายปานปรีย์ยึดหลักการทำงานเพื่อประเทศชาติ มิใช่ยึดเก้าอี้
5) นายปานปรีย์ ยังกล่าวด้วยว่า ในตำแหน่งรองนายกรัฐมนตรีอาจไม่จำเป็นต้องกำกับดูแลหลายงาน โดยนายกรัฐมนตรีอาจมอบหมายงานให้กับรองนายกฯคนอื่นก็ได้ หรือจะมอบหมายให้รมว.การต่างประเทศ อย่างในกรณีที่เคยมอบหมายให้ตนทำก็ได้ ซึ่งที่ผ่านมา ตนทำงานได้ด้วยความเรียบร้อย แต่เมื่อมาเหลือตำแหน่งเดียว ตนก็เห็นว่าสิ่งที่ตนจะดำเนินการต่อไป ในด้านการต่างประเทศอาจไม่รวดเร็วหรือราบรื่นเท่าที่ควร ถ้านายกรัฐมนตรีเห็นว่ามีคนอื่นที่เหมาะสมกว่า ก็ให้มาทำงานแทนได้
เมื่อถามว่าการลาออกครั้งนี้จะส่งผลกระทบต่องานต่างๆ ที่ได้มีการประสานกับต่างประเทศไว้หรือไม่นายปานปรีย์ กล่าวว่า ไม่เป็นไร ตนได้วางแผนไว้แล้วก่อนหน้านี้ว่า 6 เดือนหลังจากนี้ กระทรวงการต่างประเทศจะดำเนินการอย่างไรต่อไป และตนเชื่อว่าคนที่จะมาสานงานต่อ สามารถที่จะทำงานแทนต่อไปได้
6) เมื่อถามว่าจะเปลี่ยนใจหรือไม่หากนายกรัฐมนตรีขอให้กลับมาช่วยทำงาน นายปานปรีย์ กล่าวว่า ก็นายกรัฐมนตรีตัดสินใจจะให้เป็นอย่างนั้นแล้วก็ไม่ใช่ปัญหาของตน เมื่อถามอีกว่าจะยังทำงานการเมืองต่อไปหรือไม่นั้น นายปานปรีย์ กล่าวว่า เป็นเรื่องของอนาคต ยังไม่ได้ตัดสินใจ
7) นายนันทิวัฒน์ สามารถ อดีตรองผู้อำนวยการสำนักข่าวกรองแห่งชาติ และอดีตเลขานุการ รมว.การต่างประเทศ กล่าวว่า “โดยทั่วไป ที่ผ่านมารัฐมนตรีต่างประเทศจะดำรงตำแหน่งรองนายกฯ ด้วย เพื่อเป็นการให้เกียรติให้ความสำคัญกับตำแหน่งรัฐมนตรีต่างประเทศ
รัฐมนตรีต่างประเทศในทุกประเทศจะมีความสำคัญอย่างมาก เพราะจะเป็นตัวแทนประเทศในการเจรจาความเมืองกับทุกประเทศ เพื่อรักษาและเพิ่มพูนผลประโยชน์และความมั่นคงแห่งชาติ รัฐมนตรีต่างประเทศเป็นตำแหน่งที่ทำงานเหนื่อยถึงเหนื่อยมากที่สุด ต้องตรากตรำเดินทาง ผิดอากาศ ข้ามเวลา ร่างกายอ่อนเปลี้ย เป็นตำแหน่งที่ไม่มีโอกาสหาผลประโยชน์ ทำแต่งาน
“เมื่อเขาไม่เห็นคุณค่า ไม่เห็นความสำคัญไม่ให้เกียรติ อยู่ไปก็ไลฟบอยย์รักษาศักดิ์ศรีของตำแหน่งรัฐมนตรีต่างประเทศที่ไม่ใช่ใครก็ได้”
8) หันกลับมาดู นายแพทย์ชลน่าน ศรีแก้ว ที่ยังคงเงียบกริบ หลายคนจึงกล่าวตรงกันว่า พอสถานภาพมันต่างกัน ระหว่าง “รัฐอิสระ” กับ “เมืองขึ้น” การแสดงออกของนายปานปรีย์ กับนายแพทย์ชลน่าน จึงต่างกัน หมอชลน่านอยู่ในสภาพ “ขี้ข้าหรือบริวาร” ในสายตาคนทั่วไป ซึ่งชินตาและชาชินกับการที่หมอชลน่านถูกโขกสับ ราวกับเป็น “อีเย็น”แห่งนวนิยายเรื่อง “นางทาส”
9) เขาตั้งให้เป็น “หัวหน้าพรรคเพื่อไทย” แต่ก็ตั้งตำแหน่ง “หัวหน้าครอบครัวเพื่อไทย” มาข่มทับ ให้หมอชลน่าน หัวหน้าพรรค ต้องเดินตัวงอ มือกุมเป้าในยามลุกนั่ง ยืนเดิน ตามก้น คุณหนูอุ๊งอิ๊ง-แพทองธารชินวัตร, เป็นหัวหน้าพรรคที่ไม่มีชื่อเป็นแคนดิเดตนายกรัฐมนตรี ในขณะที่ “ชัยเกษม นิติศิริ” กลับได้เป็นแคนดิเดต ร่วมกับนายเศรษฐา ทวีสิน และคุณหนูอุ๊งอิ๊งช่างไม่ไว้หน้า ไม่ให้เกียรติกันเลย และ-ครั้งนี้ เขาให้เป็นรัฐมนตรี 7 เดือน พอแล้วนะ ลงจากเก้าอี้ได้แล้วนะ ได้แค่นี้แหละ ให้แค่นี้แหละ ไป! ลงไป! หมอชลน่านก็เดินเซื่องๆ หงอยๆ ลงจากเก้าอี้ตามที่นายสั่ง
10) การดำรงไว้ซึ่ง “เกียรติในตน” และ ศักดิ์ศรีแห่งความเป็นคน” มิใช่ทาส ของหมอชลน่าน จึงไม่ถูกแสดงออกเท่านายปานปรีย์ ซึ่งไม่ต้องเสียเวลาวิเคราะห์หรอกนะครับ ว่า หมอชลน่านหลุดจากเก้าอี้เพราะอะไร เหมือนที่กลุ่มแพทย์ชนบทพยายามจะบอกว่า “ถูกข้าราชการวางยา” อย่าลืมว่า ชลน่านก็ “หมอ” นะครับ ถ้าชลน่านทำงานไม่ได้เรื่อง หรือผิดพลาดจริง คนที่ “มาแทน” มันต้อง “ตอบเรื่องนี้ได้” แต่คนที่มาแทนคือ นายสมศักดิ์ เทพสุทิน ซึ่งมาเพื่อแก้ปัญหา“หมอวางยา” จริงๆ หรือ? ครั้งนี้ หมอชนบทจึงวินิจฉัยโรคผิดเสียแล้วล่ะ และอันที่จริง หมอชนบทก็ “วางยาเก่ง” มิใช่เล่นอยู่หรอก
ดูคะแนนการเลือกตั้งจังหวัดน่าน เขต2 กันหน่อยครับ
นายแพทย์ชลน่าน ศรีแก้ว ชนะเลือกตั้งในเขต2 จังหวัดน่าน ด้วยคะแนน 52,549 คะแนน ขณะที่คะแนนของพรรคเพื่อไทย ได้เพียง 42,510 คะแนน (คะแนนตัวบุคคล มากกว่าคะแนนพรรค 10,000 คะแนน) แล้วไปดูลำดับที่สองครับ นายอภิชาต จ่าแสน ก้าวไกล 18,969 คะแนน พรรคก้าวไกล ได้คะแนน 28,160 คะแนน (คะแนนพรรคมากกว่าคะแนนคน 10,000 คะแนน)
คนน่านเขต 2 อำเภอเวียงสา, นาน้อย, นาหมื่น, แม่จริม, สันติสุข และอำเภอบ้านหลวง เลือก“ลูกน้ำน่าน” คือ หมอชลน่าน แต่ไม่เลือกพรรคเพื่อไทยอยู่ 10,000 คน โดยที่ 10,000 คนนั้น ไปเลือก“พรรคก้าวไกล” ใช่หรือไม่? คะแนนพรรคก้าวไกลจึงงอกมาจากคะแนนตัวบุคคล 10,000 คะแนน อย่างเห็นได้ชัด
แล้วมาทำกับ “ลูกน้ำน่าน” อย่างนี้ แถม “หมอชลน่าน” ยังเป็น “นางทาส” อยู่แบบนี้ เลือกตั้งรอบหน้าคนอำเภอเวียงสา, นาน้อย, นาหมื่น, แม่จริม, สันติสุข และอำเภอบ้านหลวง จะยังยอมให้เกียรติ ให้ศักดิ์ศรีของเขาถูกย่ำยีผ่านการย่ำยี “ผู้แทนราษฎร” ของเขาแบบนี้ต่อไปหรือไม่ ต้องรอดูกัน!!
เงื่อนไขการแสดงความคิดเห็น ซ่อน
โปรดอ่านก่อนแสดงความคิดเห็น
1.กรุณาใช้ถ้อยคำที่ สุภาพ เหมาะสม ไม่ใช้ ถ้อยคำหยาบคาย ดูหมิ่น ส่อเสียด ให้ร้ายผู้อื่น สร้างความแตกแยกในสังคม งดการใช้ถ้อยคำที่ดูหมิ่นหรือยุยงให้เกลียดชังสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์
2.หากพบข้อความที่ไม่เหมาะสม สามารถแจ้งได้ที่อีเมล์ online@naewna.com โดยทีมงานและผู้จัดทำเว็บไซด์ www.naewna.com ขอสงวนสิทธิ์ในการลบความคิดเห็นที่พิจารณาแล้วว่าไม่เหมาะสม โดยไม่ต้องชี้แจงเหตุผลใดๆ ทุกกรณี
3.ขอบเขตความรับผิดชอบของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ อยู่ที่เนื้อหาข่าวสารที่นำเสนอเท่านั้น หากมีข้อความหรือความคิดเห็นใดที่ขัดต่อข้อ 1 ถือว่าเป็นกระทำนอกเหนือเจตนาของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ และไม่เป็นเหตุอันต้องรับผิดทางกฎหมายในทุกกรณี