ในรายการ กัลยาโณโอเค EP.224 ทางยูทูบ เมื่อวันที่ 12 เมษายน 2567 ที่ผ่านมา “พระพยอม กัลยาโณ” วัดสวนแก้ว นนทบุรี กล่าวตอนหนึ่ง เมื่อพิธีกรชวนสนทนาเรื่องภาพ “นักโทษเด็ดขาดชายทักษิณ ชินวัตร”เล่นน้ำกับหลานที่สระน้ำบ้านจันทร์ส่องหล้า ที่มีภาพดัมเบลสีฟ้ารวมอยู่ด้วย ว่า
“มันมีคำอยู่คำหนึ่ง ผู้ป่วย จะไม่คิดให้เขาหายบ้างเหรอ มันเหมือนกับไอ้ฝ่ายหนึ่งเนี่ยนะ อยากให้ป่วยนอนติดเตียง ไม่อยากให้หาย ถ้าหาย ลุกขึ้นมานี่ ตัวเองหมดสุขหมดความสุขเลย อยากให้เขาเจ็บเขาป่วย ไม่หาย ก็นี่ดันมาหาย แล้วออกอาการแข็งแรง”
พิธีกร : แต่ถ้าแยกเป็นประเด็นเรื่องความรู้สึกอิจฉา หรือรำคาญ อันนี้เป็นไปได้อย่างที่หลวงพ่อพูด แต่ถ้าแยกเป็นประเด็นในเรื่องที่คนต่อสู้กันมาแล้วถามคำถามว่า จริงๆ แล้วเนี่ย เป็นอภิสิทธิ์กว่าปกติหรือเปล่า จริงๆ ไม่น่าถามนะ ตอบเลยว่าอภิสิทธิ์ก็แล้วกัน (พระพยอมพูดแทรกว่า ใช่) ไม่งั้นมันไม่เป็นอย่างนี้หรอก
พระพยอม : แหม แต่ว่า อาตมามานั่งนึกถึงคำพูดคำสอนที่ว่า “มีสุขเพราะหมดเกลียด ถ้ามีเกลียด มันจะหมดสุข” คือ ถ้าเกลียดคนนี้ อยากให้มันป่วยมันเจ็บ ให้ตาย แต่มันดันห่ายออกมา (หัวเราะ) สำแดงพลังแข็งแรง รู้สึกไอ้คนที่เกลียดนี่มันไม่เป็นสุขเลย ถ้าคนนั้นเป็นสุข ฉันจะหมดสุข ถ้าคนนั้นมันมีทุกข์ ฉันจะมีสุข
1) นายนิพิฏฐ์ อินทรสมบัติ ได้โพสต์เฟซบุ๊กถึงเรื่องนี้ว่า
กราบนมัสการ หลวงพ่อพยอม
• ผมไม่เคยพูดหรือแสดงความเห็นเรื่องหลวงพ่อพยอม เจ้าอาวาสวัดสวนแก้ว เพราะเห็นว่า หลวงพ่อปฏิบัติดี ปฏิบัติชอบ
• แม้ตอนหลวงพ่อแพ้คดีที่ดินของวัดสวนแก้ว เมื่อหลายปีก่อน หลวงพ่อจะมีการแสดงออกอะไรเยอะผมก็ไม่แสดงความเห็น เพราะเห็นว่า หลวงพ่อไม่เข้าใจ“กฎของทางโลก”
• ทางโลกก็มีกฎของทางโลก ทางธรรมก็มีกฎของทางธรรม ผมจึงเลือกที่จะเงียบไม่แสดงความเห็นเวลาหลวงพ่อพูดถึงพระด้วยกัน เพราะถือว่าหลวงพ่อพูดในเรื่องกฎของทางธรรม
• อาณาจักร กับ ศาสนจักร ต่างเกื้อกูลซึ่งกันและกัน ยามศาสนจักรอ่อนแอ อาณาจักรก็เข้ามาเกื้อหนุนยามอาณาจักรอ่อนแอ ก็ได้ศาสนจักรเข้ามาประคับประคอง
• หากศาสนจักร ขัดแย้งกับอาณาจักรเมื่อไหร่ทั้งสองฝ่ายก็บรรลัย!!
• ผมอนุโมทนา ยามหลวงพ่อกล่าวในมุมของศาสนจักร
• ผมไม่สบายใจ หากหลวงพ่อกล่าวล้ำเข้ามาในขอบเขตของอาณาจักร
• เรื่องการเจ็บไข้ได้ป่วย ผมกราบนมัสการเรียนหลวงพ่อว่า ทุกคนอยากให้ผู้ป่วยหายทั้งนั้น ไม่มีใครแช่งชักหักกระดูกให้ผู้ป่วยตาย
• หลวงพ่อพูดว่า“ผู้ป่วยไม่คิดจะให้เขาหายหรือ ฝ่ายแค้นจะหมดสุขเพราะความริษยา”
• หลวงพ่อครับ กรณี “ผู้ป่วยทิพย์” มันต่างกับผู้ป่วยธรรมดา มันทำลายหลักการของฝ่ายอาณาจักร กล่าวคือ ฝ่ายอาณาจักรเขาก็มีกติกาในการอยู่ร่วมกันของเขาว่า“ทุกคนต้องเสมอภาคกันต่อหน้ากฎหมาย” หากมีการละเมิดกฎของอาณาจักร ก็ต้องมีการลงโทษตามกฎของอาณาจักร ไม่ใช่อยากให้ผู้ป่วยไม่หาย หรือผู้ป่วยตาย ผมมีหลักสั้นๆ ง่ายๆ จะกราบนมัสการหลวงพ่อแค่นี้แหละครับ
• อยากขอความเมตตาหลวงพ่อโปรดทบทวนความเห็น เพราะผมคิดว่า หลวงพ่อไม่เข้าใจกฎของอาณาจักร เหมือนที่หลวงพ่อเคยประชดเอาโฉนดที่ดินมาทำถุงกล้วยแขกนั่นแหละครับ
• หลวงพ่อโปรดเมตตา อย่าเติมฟืนเข้ากองไฟเลยครับ
• ผมเป็นฆราวาส ผู้ได้รับพระราชทานรางวัล “เสาเสมาธรรมจักร” ในด้านส่งเสริมกิจการคณะสงฆ์ ผมจึงน่าจะมีสิทธิแสดงความเห็นในเรื่องของสงฆ์ได้ตามสมควร
• ต่างฝ่าย ต่างมีขอบเขตแห่งอาณาเขตของตัวเอง หากล้ำก้ำเกินกันเมื่อไหร่ความไม่สงบสุขก็เกิดขึ้น
• หลวงพ่อครับ! หากฝ่ายอาณาจักรประกาศเขต “ห้ามพระเข้า” เมื่อไหร่ ผมรับรองหลวงพ่อต้องหุงข้าวฉันเอง ต่อให้หลวงพ่อทอดขนมกล้วยแขกมาขาย ผมก็จะไม่ซื้อ หลวงพ่ออดแน่ๆ ครับ
2) สำหรับผม มีความเห็นว่า ขณะกล่าวเรื่องนี้เขาเป็นแค่ “นายพยอม” เขามิได้ใช้ พรรษาของการศึกษาธรรมมาร่วมพิจารณาเลย เป็นแค่ “คนห่มผ้าเหลืองที่เล่นสำนวน” หล่อๆ ไปอย่างนั้น เป็นถ้อยคำจากปัญญาหยาบๆ มิได้ประณีตลึกซึ้งอย่างคนศึกษาธรรมและกล่าวให้ชัด มิได้มี “หลักธรรม” ที่ใช้ประกอบการพิจารณาเรื่องนี้เลย
1. สังคมโจษขานและตั้งคำถามกันมานาน เรื่อง “อาการป่วย” ของนายทักษิณ ว่า ป่วยจริงหรือป่วยเท็จ ป่วยเบาหรือป่วยหนัก ไม่ใช่เพื่อจะแช่งชักหักกระดูกอะไร ไม่ใช่ด้วยความอิจฉา เพราะไม่มีอะไรให้ต้องอิจฉาเลย แต่เพราะสังคมต้องการเห็น “ความถูกต้องเป็นธรรม” เห็นว่า “ทำดีได้ดี ทำชั่วได้ชั่ว” ไม่ใช่ทำชั่ว คือ โกงบ้านกินเมือง แล้วไม่ต้องนอนคุก ได้รับการลดโทษ ทั้งๆ ที่ยังไม่เคยติดคุกเลย และนอนอยู่โรงพยาบาลใน “ห้องพิเศษ” ที่มิได้เป็นไปตามระเบียบของกรมราชทัณฑ์ ด้วยการอ้างว่า “ป่วย” แต่เป็นอาการป่วยที่หา “ความสุจริต” มิได้ เพราะไม่ยอมให้ใครเข้าถึงการตรวจสอบเลย คนเป็น “พระ” ที่มี “ความเป็นพระ” จะไม่พูดพล่อยๆ มองตื้นๆ เป็นเรื่องอิจฉาหรือเกลียด แต่จะมีสติ นิ่ง คิด พิจารณา และใช้ “ปัญญา” คิด วิเคราะห์ แยกแยะ หรือ ค.ว.ย. อย่างประณีต จนมองเห็นเหตุที่แท้จริงว่า “เพราะมีสิ่งนี้ จึงมีสิ่งนั้น” หรือ “ผล-เกิดมาแต่เหตุ”
2. คิดอย่างพระพยอม พูดอย่างพระพยอม ไม่ต้อง “บวช” นานขนาดนั้นก็ได้ ไม่ต้องเห็นโลกมาจน“อายุ” ในทางโลกมากขนาดนั้นก็ได้ วัยในทางโลก และพรรษาในผ้าเหลือง ไม่ได้ช่วยให้พระพยอมลึกซึ้งในโลกในธรรม และเป็นสะพานเชื่อมธรรมเชื่อมโลกได้เลย
3. พระพยอมมองไม่เห็นร่องรอยของสิ่งที่เรียกว่า “ทุจริต” ในกระบวนการอ้าง “ความป่วยไข้” แต่สังคมมองเห็น เข้าไม่ถึงความจริง เพราะมีกระบวนการอ้างสิทธิปิดบังไว้มากมาย หากพระพยอมมีวิญญาณของ “ความเป็นพระ” ควรหันไปโปรดนายทักษิณว่า เมื่อ “เหตุ” คือการปิดกั้นการตรวจสอบ / การไม่ให้ความร่วมมือต่อการตรวจสอบ / การเข้าไม่ถึงการตรวจสอบ คือ การอ้างความป่วยไข้ ที่มีบริวารมาให้ข้อมูลว่า ผ่าตัดตรงนั้นตรงนี้ เส้นเอ็นเปื่อยยุ่ย อาการวิกฤต ชนิดที่โรงพยาบาลราชทัณฑ์ไม่มีปัญญาดูแลรักษา ไฉนกลับมาอยู่บ้านไม่กี่วัน รับแขกได้ ฮุนเซน มาจากกัมพูชา มาคุยด้วยนานหลายชั่วโมง, นายกฯ เศรษฐา ทวีสิน เข้าพบ ก็คุยกันอยู่หลายชั่วโมง, ไปเชียงใหม่ มีกิจกรรมตั้งแต่เช้ายันค่ำ เดินเหินหยิบจับอะไรต่อมิอะไรได้สะดวก คล่องแคล่ว ลงสระว่ายน้ำ ไม่เห็นแผลผ่าตัด ฯลฯ ล้วนเป็นเหตุให้คนสงสัย
หากอยากให้คนสิ้นสงสัย เพราะความป่วยไข้ของเราเป็น “ความป่วยไข้ที่สุจริต” ก็สำแดงผลการตรวจและการรักษาออกมา ก็สิ้นเรื่อง ก็ใช้ชีวิตไปตามเงื่อนไขที่ได้รับ ก็แค่นั้น นี่คือการ “ชี้ทางธรรม” ให้ดำรงตนอย่าง “สุจริต” แต่ไม่มีกระเซ็นออกจากปากของพระยอมสักเสี้ยวลมปาก ไพล่ไปเรื่องมีสุขไม่มีสุข เกลียดไม่เกลียดไปโน่น
4. ถามว่ามีคนเกลียดทักษิณไหม มี แต่มันไม่ใช่หัวใจของเรื่อง หัวใจของเรื่องคือการปกปิดและอ้างความป่วยไข้ เพื่อรับ “สิทธิพิเศษ” อย่างน่าชิงชังรังเกียจ นี่คือเหตุที่มา หลักธรรมที่ชื่อ “อิทัปปัจจยตา” ที่สอนว่า ...อิมสฺมึ สติ อิทํ โหติ
เมื่อสิ่งนี้ มี สิ่งนี้ ย่อมมี อิมสฺสุปฺปาทา อิทํ อุปฺปชฺชติ เพราะความเกิดขึ้นแห่งสิ่งนี้ สิ่งนี้จึงเกิดขึ้น อิมสฺมึ อสติ อิทํ น โหติ เมื่อสิ่งนี้ ไม่มี สิ่งนี้ ย่อมไม่มี อิมสฺส นิโรธา อิทํ นิรุชฺฌติ เพราะความดับไปแห่งสิ่งนี้ สิ่งนี้จึงดับไป... ไม่ปรากฏในวิธีคิด และในปากที่พล่ามพูดของพระพยอมเลย ทั้งๆ ที่เป็นหลักธรรมที่อธิบายปรากฏการณ์โลกในเรื่องนี้ได้ดีที่สุด แต่ท่านก็ไม่ใช้
5. การที่ท่านไม่ใช้ อาจเกิดได้จากหลายสาเหตุ เช่น ท่านเขลา, ท่านพร่องวิชาธรรม หรือท่านจมอยู่ใน “อคติ 4” (ฐานะอันไม่พึงถึง, ทางความประพฤติที่ผิด, ความไม่เที่ยงธรรม, ความลำเอียง - wrong course of behavior; prejudice)
ซึ่งประกอบไปด้วย
1. ฉันทาคติ (ลำเอียงเพราะชอบ - prejudice caused by love or desire; partiality)
2. โทสาคติ (ลำเอียงเพราะชัง - prejudice caused by hatred or enmity)
3. โมหาคติ (ลำเอียงเพราะหลง, พลาดผิดเพราะเขลา - prejudice caused by delusion or stupidity)
4. ภยาคติ (ลำเอียงเพราะกลัว - prejudice caused by fear)
พระพุทธเจ้าตรัสถึงคุณของการไม่มีอคติและโทษของการมีอคติไว้ว่า “คนใด ประพฤติผิดธรรมเพราะความรัก เพราะความโกรธ เพราะความหลง และเพราะความกลัว คนนั้นย่อมเสื่อมยศคล้ายพระจันทร์ข้างแรม คนใด ไม่ประพฤติผิดธรรมเพราะความรัก เพราะความโกรธ เพราะความหลง และเพราะความกลัว คนนั้นย่อมมียศบริบูรณ์คล้ายพระจันทร์ข้างขึ้น”
สิ่งที่พระพยอมสอนคนเรื่องทุกข์เพราะความเกลียดนั้นดีแล้ว แต่ท่านอย่าลืมเตือนตนเรื่อง “อคติ4” และหลัก “อิทัปปัจจยตา” นี้ด้วย สาธุ!
เงื่อนไขการแสดงความคิดเห็น ซ่อน
โปรดอ่านก่อนแสดงความคิดเห็น
1.กรุณาใช้ถ้อยคำที่ สุภาพ เหมาะสม ไม่ใช้ ถ้อยคำหยาบคาย ดูหมิ่น ส่อเสียด ให้ร้ายผู้อื่น สร้างความแตกแยกในสังคม งดการใช้ถ้อยคำที่ดูหมิ่นหรือยุยงให้เกลียดชังสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์
2.หากพบข้อความที่ไม่เหมาะสม สามารถแจ้งได้ที่อีเมล์ online@naewna.com โดยทีมงานและผู้จัดทำเว็บไซด์ www.naewna.com ขอสงวนสิทธิ์ในการลบความคิดเห็นที่พิจารณาแล้วว่าไม่เหมาะสม โดยไม่ต้องชี้แจงเหตุผลใดๆ ทุกกรณี
3.ขอบเขตความรับผิดชอบของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ อยู่ที่เนื้อหาข่าวสารที่นำเสนอเท่านั้น หากมีข้อความหรือความคิดเห็นใดที่ขัดต่อข้อ 1 ถือว่าเป็นกระทำนอกเหนือเจตนาของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ และไม่เป็นเหตุอันต้องรับผิดทางกฎหมายในทุกกรณี