สังคมกำลังหัวหมุนเรื่อง “ดิจิทัล วอลเล็ต” ของรัฐบาลพรรคเพื่อไทย ด้วยหลายๆ คำถาม อาทิ เป็นไปตามที่หาเสียงและยื่นเป็นลายลักษณ์อักษรไว้กับคณะกรรมการการเลือกตั้ง (กกต.) หรือไม่ ถ้าไม่ใช่ จะผิดกฎหมายหรือเปล่า แหล่งเงินเฉพาะส่วนที่จะใช้เงินของ ธ.ก.ส. ใช้ได้หรือไม่ จะเป็นเหตุให้พรรคร่วมคัดค้านเพราะกลัวติดคุกหรือเปล่า ทำโครงการนี้แล้วใครได้ประโยชน์ เจ้าสัวร้านสะดวกซื้อ? และที่สำคัญที่สุดคือ เกิดประโยชน์อะไรในระบบเศรษฐกิจไทย วินัยการเงินการคลัง เมื่อเทียบกับภาระหนี้ที่ต้องผ่อนคืนในระยะยาว
1) ในเรื่องคุณสมบัติของผู้มีสิทธิได้รับนั้น ดร.เผ่าภูมิ โรจนสกุล รองหัวหน้าพรรคเพื่อไทย ระบุว่า ผู้มีสิทธิได้เงิน 10,000 บาท ในโครงการ Digital Wallet อายุ 16 ปีขึ้นไป ทุกคน ทั้งอยู่ในระบบภาษีและไม่อยู่ในระบบภาษี(ทั้งที่ยื่นแบบและไม่ยื่นแบบ) “ตัด” ผู้มีรายได้พึงประเมินเกิน 840,00 0บาท/ปี ออกและ “ตัด” ผู้ที่มีเงินฝากในสถาบันการเงินพาณิชย์และสถาบันการเงินเฉพาะกิจของรัฐรวมกันทุกบัญชีเกิน 500,000 บาท ออก ที่เหลือได้ทุกคนครับ ซึ่งจะมีคนผ่านเงื่อนไขนี้ราว 50 ล้านคนครับ
2) พรรคเพื่อไทยตอบคำถามที่ว่า “จำกัดแค่ร้านเล็กในชุมชนเท่านั้น?” ว่า สามารถซื้อสินค้าในร้านค้าขนาดเล็ก รวมถึงร้านสะดวกซื้อ แต่ไม่รวมห้างค้าปลีก-ค้าส่งขนาดใหญ่ อย่างซูเปอร์มาร์เก็ต และห้างสรรพสินค้า ตามนิยามและเงื่อนไขที่กระทรวงพาณิชย์กำหนดเป็นต้น
3) นายเทพไท เสนพงศ์ อดีต สส.นครศรีธรรมราช โพสต์ข้อความ หัวข้อ “แจกเงินดิจิทัล ประชาชน คือทางผ่าน สุดท้ายเข้ากระเป๋าเจ้าสัว” ความว่า...ขณะที่
นายภูมิธรรม เวชยชัย รองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงพาณิชย์ เปิดเผยว่า กระทรวงพาณิชย์ เตรียมเปิดรับร้านค้าเข้าโครงการดิจิทัล วอลเล็ต คาดมีมากว่า 8-9 ล้านรายทั่วประเทศ รวมถึงร้านสะดวกซื้ออย่างร้านเซเว่น-อีเลฟเว่น ด้วยนั้น อย่าลืมว่าตอนนี้ร้านเซเว่น-อีเลฟเว่น เป็นร้านสะดวกซื้อที่มีสาขามากที่สุด ครอบคลุมทุกพื้นที่ มีอยู่ทุกปั๊มน้ำมัน ปตท. มีทุกซอย มีตั้งแต่ปากซอยยันปลายซอย ทำให้ร้านค้ารายย่อย ร้านโชห่วยตายหมดแล้ว
เมื่อโครงการดิจิทัล วอลเล็ต เปิดโอกาสให้ประชาชนใช้ซื้อของที่ร้านเซเว่น-อีเลฟเว่นได้ จะมีสินค้าหลายชนิดจะหลั่งไหลเข้ามาวางขายในร้านเซเว่น-อีเลฟเว่นเพื่อจำหน่าย ให้กับผู้ต้องการใช้เงินดิจิทัล วอลเล็ต ซื้อสินค้า เชื่อว่าเงินของโครงการนี้ประมาณ 5 แสนล้านบาทจะไหลเข้าสู่ร้านเซเว่น-อีเลฟเว่นไม่ต่ำกว่า 50% หรือ2.5 แสนล้านบาท เป็นอย่างน้อย เข้ากระเป๋ากลุ่มทุนรายใหญ่ หรือกระเป๋าเจ้าสัวอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้
การที่ คุณภูมิธรรม ยอมรับตรงๆ ว่า ไม่ปฏิเสธการหวังผลทางการเมือง เพราะทุกพรรคการเมืองประกาศหาเสียงกับประชาชนไว้ จะต้องทำให้ได้ แสดงให้เห็นว่ารัฐบาลชุดนี้ได้ใช้เงินภาษีของประชาชนไปหาเสียง คือนโยบายของพรรคเพื่อไทย ประกาศหาเสียงกับโครงการแจกเงินดิจิทัล วอลเล็ต คนละ 10,000 บาท เป็นการซื้อเสียงล่วงหน้า เมื่อเป็นเช่นนี้ อยากจะตั้งคำถามกับ กกต.ว่า จะพิจารณาและดำเนินการเรื่องนี้อย่างไรต่อไป
4) เรื่องเงิน ธ.ก.ส. นายสมชัย ศรีสุทธิยากร อดีตกรรมการการเลือกตั้ง โพสต์ข้อความหลายครั้งว่า
ใครมีเงินฝาก ธ.ก.ส. ไม่ต้องรีบถอนเงินนะครับ ดิจิทัล วอลเล็ต 172,300 ล้าน จาก ธ.ก.ส. ยากมาก ยกเว้นคณะกรรมการอยากย้ายบ้าน
1. พ.ร.บ. ธ.ก.ส. 2509 ข้อ 9 เขียนวัตถุประสงค์ไว้ชัดเจนว่า “(1) ให้ความช่วยเหลือทางการเงินแก่เกษตรกร” ไม่ใช่ “ครอบครัวเกษตรกร” แม้จะมีคำว่า ครอบครัวเกษตรกรใน (ค) และ (ง) แต่การให้ต้องให้ต่อเกษตรกรตาม (1)
2.ตัวเลขเกษตรกร 17.23 ล้านคน จึงเป็นตัวเลขยกเมฆ เอาครอบครัวเกษตรกรที่ไม่รู้ชัดเจนว่ามีอีกกี่คน ทำอาชีพอะไร ร่ำรวยแค่ไหนแล้วมารวมให้ถึง 17.23
ล้านคน ทั้งๆ ที่เกษตรกรที่จดทะเบียนกับกระทรวงเกษตรฯ มีแค่ 8.9 ล้านคน
3.ยังไม่นับ ข้อ 10 ของ พ.ร.บ.ธ.ก.ส. ที่ให้อำนาจกระทำกิจการต่างๆ ในฐานะธนาคาร รวม 17 อย่าง เช่น ให้กู้ รับฝาก ขายตั๋วเงิน ฯลฯ ที่อ่านสิบรอบก็ไม่เจอคำว่า “แจกเงิน” หรือให้ “รัฐบาลยืมเงินไปแจก”
4.ดังนั้น พิจารณาจากกฎหมาย อย่างไรก็เอาเงิน ธ.ก.ส. ไปสนับสนุนดิจิทัล วอลเล็ต ไม่ได้ครับ ยกเว้น คณะกรรมการ ธ.ก.ส. จะลงมติให้โดยเสี่ยงติดคุก
ก่อนหน้านี้ นายสมชัย โพสต์ว่า “แหล่งที่มางบประมาณ ปี’67 ยังไม่หมู” ความว่า
“ยอด 1.75 แสนล้าน ที่จะเอามาจากงบประมาณปี’67 จะเอามาใช้แจกชาวบ้านทันทีไม่ได้ ต้องอาศัยกระบวนการบริหารงบประมาณซับซ้อนยิ่ง 1.รายการดิจิทัล วอลเล็ต ไม่มีในรายการงบประมาณรายจ่ายปี’67 ที่ผ่านรัฐสภา 2.การออก พ.ร.บ.งบประมาณรายจ่ายเพิ่มเติมกลางปี เพิ่มรายการดิจิทัล วอลเล็ต ได้ แต่ต้องมีแหล่งรายได้ใหม่ เช่น รายได้จากการเก็บภาษีเพิ่ม แต่มันไม่มี3.การออก พ.ร.บ.โอนเงินงบประมาณจาก เงินเหลือจ่ายส่วนราชการและงบกลาง มาเป็นรายการ ดิจิทัล วอลเล็ต ทำไม่ได้ เพราะไม่มีรายการนี้ให้โอนเข้า 4.เรื่องมันเลยวนกลับ แบบไก่กับไข่ โอนไม่ได้ เพราะไม่มีรายการเพิ่มรายการไม่ได้เพราะไม่มีแหล่งรายได้งบประมาณ5.ทุกอย่าง จึงยังอยู่ในสภาพ คิดใหญ่ ทำไม่เป็น แต่คิดไปทำไป รอคนทักท้วงแล้วหาทางใหม่ไปเรื่อยๆ มืออาชีพจริง”
และบอกด้วยว่า “แหล่งที่มาของเงินดิจิทัลวอลเล็ต จาก ธ.ก.ส. แค่ตัวเลข ก็คว่ำแล้ว” ความว่า
รัฐบาลระบุตัวเลขแหล่งเงินจาก ธ.ก.ส. 172,300 ล้านบาท มาจากตัวเลขเกษตรกร 17.23 ล้านคน ที่สามารถอยู่ในวัตถุประสงค์ของ ธ.ก.ส.ในการช่วยเหลือเกษตรกร ตัวเลขเกษตรกร 17.23 ล้านคน เป็นตัวเลขที่เสกมาในอากาศหรือไม่ เพราะสถิติของสำนักงานเศรษฐกิจการเกษตร กระทรวงเกษตรฯ ณ วันที่ 21 กุมภาพันธ์ 2567 มีเกษตรกรที่มาขึ้นทะเบียน 8.9 ล้านคนเท่านั้น ข้อมูลของ ธ.ก.ส.เอง ณ วันที่ 31 ธันวาคม 2566มีสมาชิก 4.7 ล้านราย โดยในจำนวนดังกล่าวเป็นเกษตรกรแค่ 3.7 ล้านราย ยังไม่ต้องไปถึงวัตถุประสงค์ของ ธ.ก.ส. ตาม พ.ร.บ. ธ.ก.ส. พ.ศ. 2509 ที่อาจต้องพึ่งกฤษฎีกาตีความอีกรอบว่า สามารถนำไปแจกเกษตรกรได้หรือไม่ เพราะที่รู้ ธนาคารเขามีไว้ฝากกับกู้ ไม่ได้ตั้งขึ้นมาเพื่อแจก
5) นายกรณ์ จาติกวณิช อดีตรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลัง โพสต์เฟซบุ๊ก ระบุว่า ปชป.ออกมาตำหนิแผนการกู้จาก ธ.ก.ส.เพื่อมา #แจกเงินดิจิทัล บอกว่า
ซํ้ารอย “จำนำข้าว” ในการสร้างหนี้สะสมมหาศาล จนถึงวันนี้รัฐบาลยังไม่ได้ชำระคืนให้ ธ.ก.ส. เพื่อไทย สวนกลับทันทีว่า ก็ทีพวกคุณแจกเงินโครงการประกันรายได้
คุณก็ใช้เงิน ธ.ก.ส. วันนี้ใช้เงินคืนหรือยัง?? อันนี้ถูกทั้งคู่!แต่ผมว่าไม่ตรงประเด็น เพราะจะผิดจะถูกอย่างไร ทั้งจำนำข้าวและประกันรายได้ ล้วนเป็นเรื่องโครงการที่ตรงกับภารกิจตามกฎหมายของ ธ.ก.ส.(ถึงแม้จะมีปัญหาอื่นตามมา)
ตาม พ.ร.บ.ธ.ก.ส. นั้น ในหมวด 2 มาตรา 9 ได้ระบุวัตถุประสงค์ของ ธ.ก.ส. ไว้ถึง 17 ข้อ ทั้ง จำนำและประกันรายได้ เข้าเกณฑ์ตั้งแต่ข้อที่ 1 คือ “การให้ความช่วยเหลือทางการเงินแก่เกษตรกร สำหรับการประกอบอาชีพเกษตรกรรม” และนี่น่าจะเป็นวัตถุประสงค์หลัก โดยที่ก็ยังมีวัตถุประสงค์อื่นๆ อีก 16 ข้อ ว่า ธ.ก.ส. ทำอะไร
ได้บ้าง โดยที่ทุกข้อโยงกับการส่งเสริมเกษตรกรในบริบทการทำอาชีพเกษตรกรรม
ที่อ่านแล้วยังไม่ชัดว่ามีข้อไหนเปิดให้ ธ.ก.ส. ปล่อยกู้ให้รัฐบาลนำมาแจกประชาชนได้ (แม้บางคนมีอาชีพเป็นเกษตรกรก็ตาม) เพราะวัตถุประสงค์การแจกเงินดิจิทัลประกาศไว้ชัดว่า “เพื่อการกระตุ้นเศรษฐกิจ”และ “เพื่อการบริโภค” ไม่มีอะไรเกี่ยวข้องกับการ“ส่งเสริมการเกษตร”
ก่อนหน้านี้ผมก็เคยคิดว่า รัฐบาลอาจใช้ ธ.ก.ส.เพื่อการนี้ได้ แต่ว่า ตั้งแต่ปี 2561 มี พ.ร.บ.วินัยทางการคลังยํ้าประเด็นชัดเจนในมาตรา 28 ว่า รัฐบาลใช้เงินของรัฐวิสาหกิจโดยขัดหรือไม่ตรงกับวัตถุประสงค์ของรัฐวิสาหกิจนั้นๆ ไม่ได้
ทำให้ผมกลับไปอ่านกฎหมายจัดตั้ง ธ.ก.ส.อีกรอบ และผมว่าเรื่องนี้ต้องดูให้ดี ประเด็นนี้ตรงกับที่แบงก์ชาติได้ออกมาเตือน (ผมได้อ่านกฎหมายของธนาคารออมสินด้วย หากจะไปทางนั้นก็ต้องออกพันธบัตร ซึ่งต้องมีพ.ร.ก. หรือ พ.ร.บ.กู้เงินรองรับ ซึ่งก็เป็นไปไม่ได้อีก)
ในเมื่อรัฐบาลตั้งใจเดินหน้าโครงการนี้ ทางออกหนึ่งคือรัฐบาลตัดค่าใช้จ่ายอื่นๆ ในงบปี 2568 เพื่อเจียดมาแจกเงินดิจิทัล หรือรอแจกงวดที่สอง ด้วยการใช้งบปี 2569
ทั้งหมดนี้เป็นความเห็นของผมในฐานะอดีตประธาน ธ.ก.ส.ผู้ที่รัก ผูกพัน และอยากเห็น ธ.ก.ส. มีกำลังเพียงพอในการทำหน้าที่ดูแลเกษตรกรได้ตามวัตถุประสงค์การจัดตั้ง
ย้อนกลับไปดู “คำเตือน” จาก คณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตแห่งชาติ (ป.ป.ช.)ก็มีหลายข้อที่น่าสนใจ อาทิ...
1.“รัฐบาลควรศึกษา วิเคราะห์ การดําเนินโครงการตามนโยบายฯ รวมทั้งชี้แจงความชัดเจน อย่างเป็นรูปธรรมว่า ผู้ได้รับประโยชน์จากโครงการ จะไม่ตกแก่พรรคการเมือง นักการเมือง หรือเป็นการเอื้อประโยชน์แก่บุคคลรายใดรายหนึ่ง หรือกลุ่มใดกลุ่มหนึ่ง โดยเฉพาะกลุ่มผู้ประกอบการรายใหญ่ที่มีศักยภาพ มากกว่าผู้ประกอบการรายย่อย ซึ่งเป็นการดําเนินนโยบายที่อาจเข้าข่ายการทุจริตเชิงนโยบาย รวมทั้งประชาชนที่เข้าร่วมโครงการเป็นผู้ที่มีคุณสมบัติเหมาะสมที่จะได้รับประโยชน์จากการดําเนินโครงการของรัฐบาลอย่างแท้จริงเช่น เป็นผู้ที่มีรายได้น้อย หรือกลุ่มเปราะบาง พร้อมกับต้องมีขั้นตอนและวิธีการที่เป็นรูปธรรมชัดเจนเพื่อให้สามารถกระจายการกระตุ้นเศรษฐกิจได้อย่างทั่วถึงและเป็นธรรม”
กรณีนี้ ร้านสะดวกซื้อที่หลายคนวิพากษ์วิจารณ์ว่าจะได้รับประโยชน์ไปเต็มๆ จะเข้าข่ายว่า รัฐบาลตั้งนโยบายนี้เพื่อ “เอื้อประโยชน์” หรือไม่
2.การหาเสียงของพรรคเพื่อไทย เมื่อวันที่ 14 พฤษภาคม 2566 และ พรรคเพื่อไทยได้จัดตั้งรัฐบาล ได้มีการแถลงนโยบายต่อรัฐสภาเมื่อวันที่ 11 กันยายน 2566 เกี่ยวกับโครงการดังกล่าวนั้น มีความแตกต่างกันสํานักงานคณะกรรมการการเลือกตั้ง (กกต.) ควรดําเนินการตรวจสอบว่า ขัดต่อรัฐธรรมนูญและพระราชบัญญัติประกอบรัฐธรรมนูญว่าด้วยพรรคการเมือง พ.ศ. 2560หรือไม่ มิฉะนั้น จะเป็นบรรทัดฐานสําหรับพรรคการเมืองสามารถหาเสียงไว้อย่างไร เมื่อได้รับเลือกตั้งแล้วไม่จําเป็นต้องปฏิบัติตามที่ได้หาเสียงไว้
3.การดําเนินนโยบายของรัฐบาลที่มีวัตถุประสงค์เพื่อกระตุ้นเศรษฐกิจ โดยเฉพาะอย่างยิ่ง โครงการเติมเงิน 10,000 บาท ผ่าน Digital Wallet ควรคํานึงถึงความคุ้มค่าและความจําเป็นในการกระตุ้นเศรษฐกิจ ตลอดจนผลกระทบ และภาระทางการเงิน การคลังในอนาคต ภายใต้หลักธรรมาภิบาล 4 ด้าน คือ ความโปร่งใส (Transparency)การถ่วงดุล (Checks and Balances) การรักษาความมั่นคงของระบบการคลัง (Fiscal Integrity) และความคล่องตัว(Flexibility) ซึ่งรัฐบาลจึงต้องใช้ความระมัดระวัง พิจารณาระหว่างผลดี ผลเสียที่จะต้องกู้เงิน จํานวน 500,000 ล้านบาทในขณะที่ตัวทวีคูณทางการคลังมีเพียง 0.4 การกู้เงินจึงเป็นการสร้างภาระหนี้แก่รัฐบาล และประชาชนในระยะยาว ซึ่งจะต้องตั้งงบประมาณในการชําระหนี้จํานวนนี้เป็นระยะเวลา 4-5 ปี กระทบต่อตัวเลขการใช้จ่ายและการลงทุนของภาครัฐ
4.จากข้อมูลภาวะเศรษฐกิจของหน่วยงานต่างๆ ที่ได้จากการศึกษา และตัวทวีคูณทางการคลัง รวมถึงตัวบ่งชี้ภาวะวิกฤตที่ธนาคารแห่งประเทศไทย ได้รวบรวมและประมวลข้อมูลจากงานศึกษาของธนาคารโลกและ IMF มีความเห็นตรงกันว่า ในช่วงเวลาที่ศึกษาอัตราความเจริญเติบโตของประเทศไทยยังไม่ถึงขั้นประสบภาวะวิกฤต เศรษฐกิจ เพียงแต่ชะลอตัวเท่านั้น ดังนั้น ในการกระตุ้นเศรษฐกิจให้เติบโตอย่างมีเสถียรภาพและยั่งยืนรัฐบาลควรพิจารณาและให้ความสําคัญต่อโครงสร้างทางเศรษฐกิจ เช่น การกระตุ้นการบริโภคภาคเอกชน การกระตุ้นการใช้จ่าย และการลงทุนภาครัฐ การเพิ่มทักษะให้แก่แรงงาน เป็นต้น ในกรณีที่รัฐบาลต้องดําเนินนโยบายที่มีวัตถุประสงค์ในการช่วยเหลือประชาชนภายใต้สถานการณ์เศรษฐกิจที่ไม่เข้าขั้นวิกฤต ควรพิจารณากลุ่มประชาชนเป้าหมายที่เปราะบางที่สุด ซึ่งต้องการความช่วยเหลืออย่างแท้จริง ภายใต้บทบัญญัติของรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย พุทธศักราช 2560 และพระราชบัญญัติวินัยการเงินการคลังของรัฐ พ.ศ. 2561 อาทิ กลุ่มที่มีรายได้ต่ำกว่าเส้นความยากจน
5.หากรัฐบาลมีความจําเป็นต้องการช่วยเหลือประชาชน รัฐบาลควรช่วยเหลือกลุ่มประชาชน ที่มีฐานะยากจน ที่เปราะบาง ที่ช่วยเหลือตัวเองไม่ได้เท่านั้น โดยแจกจากแหล่งเงินงบประมาณปกติ มิใช่เงินกู้ ตามพระราชบัญญัติเงินกู้ และจ่ายในรูปเงินบาทปกติในอัตราที่เหมาะสมเพื่อพยุงการดํารงชีวิตของกลุ่มประชาชน ที่ยากจน โดยการกระจายจ่ายเงินเป็นงวดๆ หลายงวดผ่านระบบแอปเป๋าตังที่มีประสิทธิภาพ และมีฐานข้อมูลครบ สามารถทําได้รวดเร็วการดําเนินการกรณีนี้ หากใช้แหล่งเงินงบประมาณปกติ มิใช่จากการกู้เงินตามพระราชบัญญัติ เงินกู้ จะลดความเสี่ยงต่อการขัดรัฐธรรมนูญ ขัดพระราชบัญญัติวินัยการเงินการคลัง พ.ศ. 2561 และขัดพระราชบัญญัติเงินตรา พ.ศ. 2501 ประการสําคัญไม่สร้างภาระหนี้สาธารณะของประเทศในระยะยาว
สรุป : น่าคิดและต้องติดตามว่า เมื่อเรื่องนี้เข้าสู่ที่ประชุมคณะรัฐมนตรีแล้ว พรรคร่วมรัฐบาล ยังกล้าหาญจะร่วมถือ “ดิจิทัล วอลเล็ต” = ใบส่งตัวเข้าคุก? นี้ไปกับพรรคเพื่อไทยหรือไม่?
เงื่อนไขการแสดงความคิดเห็น ซ่อน
โปรดอ่านก่อนแสดงความคิดเห็น
1.กรุณาใช้ถ้อยคำที่ สุภาพ เหมาะสม ไม่ใช้ ถ้อยคำหยาบคาย ดูหมิ่น ส่อเสียด ให้ร้ายผู้อื่น สร้างความแตกแยกในสังคม งดการใช้ถ้อยคำที่ดูหมิ่นหรือยุยงให้เกลียดชังสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์
2.หากพบข้อความที่ไม่เหมาะสม สามารถแจ้งได้ที่อีเมล์ online@naewna.com โดยทีมงานและผู้จัดทำเว็บไซด์ www.naewna.com ขอสงวนสิทธิ์ในการลบความคิดเห็นที่พิจารณาแล้วว่าไม่เหมาะสม โดยไม่ต้องชี้แจงเหตุผลใดๆ ทุกกรณี
3.ขอบเขตความรับผิดชอบของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ อยู่ที่เนื้อหาข่าวสารที่นำเสนอเท่านั้น หากมีข้อความหรือความคิดเห็นใดที่ขัดต่อข้อ 1 ถือว่าเป็นกระทำนอกเหนือเจตนาของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ และไม่เป็นเหตุอันต้องรับผิดทางกฎหมายในทุกกรณี