การตรวจสอบและดำเนินคดีกับพระที่มีตำแหน่งผู้บริหารในวัดใหญ่ๆ ดังๆ ที่พัวพันกับเงินจำนวนมากๆ เป็นการทำลายพระพุทธศาสนา จริงหรือ?
เรื่องนี้ มีประเด็นน่าคิดตั้งคำถามและหาคำตอบหลายประการ
ถาม : พระสงฆ์ที่ตกเป็นข่าว ได้กระทำผิดจริงหรือไม่? ได้ร่วมกันกับเจ้าหน้าที่รัฐกระทำความผิดเกี่ยวกับการทุจริตเงินทอนวัดหรือใช้เงินผิดประเภท เพื่อผลประโยชน์ของผู้หนึ่งผู้ใด หรือไม่?
ตอบ : ผู้ที่รู้ดีอยู่แก่ใจ คือ ตัวพระสงฆ์และผู้เกี่ยวข้องในกระบวนการนั้นๆ เอง
ส่วนผู้อื่น ได้แต่ออกมาการันตี อ้างแค่ว่าพระอาจารย์เป็นพระชั้นผู้ใหญ่ บวชมานาน จะไปทำอะไรผิดอย่างนั้นได้อย่างไร ฯลฯ ล้วนแต่เป็นการเอาความเชื่อความศรัทธามาตอบรับรองแทนข้อเท็จจริงทั้งสิ้น
ถ้าอ้างแบบนี้ได้ ต่อไปก็คงไม่ต้องตรวจสอบพระสงฆ์ที่บวชมานานๆ
ตรงกันข้าม ตามข้อมูลที่เจ้าหน้าที่ตรวจสอบนั้น บางกรณีก็มิใช่ว่าเพิ่งกระทำ แต่กระทำมานาน และทำเป็นซ้ำซาก ทั้งการยักย้ายถ่ายโอนเงินแผ่นดินไปสู่บัญชีส่วนตัวของพระ ก่อนผ่องถ่ายไปสู่กระเป๋าคนนอก รวมทั้งทอนให้แก่เจ้าหน้าที่ พศ.
เจ้าหน้าที่สอบสวนรวบรวมข้อมูลพยานหลักฐานมานานข้ามปี มิใช่เพิ่งมาแจ้งความดำเนินคดีโดยปราศจากมูลความจริง โดยตรวจสอบทั้งเส้นทางการเงิน เครือข่ายการอนุมัติจัดสรรและผ่องถ่ายเงิน การดำเนินโครงการว่ามีตามที่อ้างในการขอ
งบประมาณแผ่นดินหรือไม่? ฯลฯ
เชื่อได้ว่า พนักงานสอบสวน ตำรวจ ปปป. มิได้ยกเมฆ แต่จะผิดหรือไม่ ก็ต้องไปพิสูจน์ตามกระบวนการ
ส่วนที่อ้างว่า พศ.ยังไม่ได้เชิญพระไปให้ปากคำเลย ก็ไม่น่าแปลกใจ เพราะ พศ.ไม่ใช่พนักงานสอบสวน ขณะนี้ เมื่อพนักงานสอบสวน ปปป. ตรวจสอบข้อมูลข้อเท็จจริงพบว่าเกิดการกระทำ
อันมีมูลเป็นความเสียหายแก่เงินแผ่นดินที่อยู่ในความดูแลของ พศ. ก็จึงได้ให้ ผอ.พศ. ในฐานะผู้บริหารองค์กร ต้องเข้าไปแจ้งความร้องทุกข์ในฐานะผู้เสียหายตามกฎหมาย ส่วนใครจะตกเป็นผู้ต้องหา ถูกแจ้งข้อหาอย่างไร พนักงานสอบสวน (ปปป.หรือ ป.ป.ช.) ก็จะเรียกให้เข้ามารับทราบข้อหา และให้การชี้แจงแก้ต่างต่อไป
ถาม : อ้างว่า การใช้เงินงบประมาณแผ่นดินสนับสนุนผิดประเภท ไม่น่ามีความผิด เพราะขาดเจตนาที่จะโกงได้ไหม?
ตอบ : กรรมเป็นเครื่องชี้เจตนา
การดูเจตนาแห่งการกระทำที่ก่อให้เกิดความเสียหายแก่เงินแผ่นดินนั้น จึงดูที่พฤติการณ์แห่งการกระทำ ว่าเงินแผ่นดินถูกใช้จ่ายตรงตามวัตถุประสงค์ที่ได้รับจัดสรรตามกฎหมายงบประมาณแผ่นดินประจำปีหรือไม่? การเบิกจ่ายเงินถูกต้องตามระเบียบและกฎหมายหรือไม่? เพราะเงินเหล่านี้จัดสรรตามกฎหมายงบประมาณแผ่นดินที่กำหนดไว้ชัดเจนว่าจะต้องนำไปใช้จ่ายในโครงการใด เพื่อประโยชน์ในการใด มิฉะนั้น ก็คงจะได้มั่วกันไปหมด เวลาของบอ้างทำโครงการหนึ่งเพื่อประโยชน์ส่วนรวม แต่เวลาเอาไปใช้จ่ายจริงกลับนำไปทำโครงการอื่น เพื่อประโยชน์อื่นของผู้หนึ่งผู้ใด ดังนั้น การนำเงินไปใช้จ่ายในการอื่นๆ จึงส่อเจตนาไม่บริสุทธิ์ ยังไม่ต้องเอ่ยว่าเงินนั้นไหลออกไปสู่กระเป๋าส่วนตัวของใครอย่างไร?
ถาม : การกล่าวโทษกับพระผู้ใหญ่ จะกระทบความศรัทธาต่อพระพุทธศาสนาหรือไม่?
ตอบ : ในข้อเท็จจริง การตรวจสอบเรื่องนี้ พนักงานสอบสวนมิได้กล่าวโทษในความเป็นพระชั้นผู้ใหญ่ แต่กล่าวโทษเจ้าอาวาสและผู้บริหารวัด ที่มีอำนาจหน้าที่และความรับผิดชอบในการบริหารกิจการภายในวัดและดูแลโครงการที่เกี่ยวข้องกับวัดตามกฎหมาย เมื่อปรากฏว่าการจัดการโครงการของวัดนั้น ได้ทำให้เกิดความเสียหายแก่เงินแผ่นดิน ก็จึงต้องถูกตรวจสอบดำเนินคดี
เพียงแต่อีกสถานะหนึ่งของพระสงฆ์เหล่านี้มีตำแหน่งในทางการปกครองคณะสงฆ์ บางรูปเป็นกรรมการมหาเถรสมาคม
แต่บางรูป ก็ไม่ได้มีตำแหน่งเป็นกรรมการ มส. อาทิ นายสมเกียรติ ขันทอง หรือ กิตติ พัชรคุณ เจ้าคณะอำเภอ จ.เพชรบูรณ์ และเจ้าอาวาสวัดลาดแค ต้องหาคดีทุจริตเงินทอนวัดเช่นกัน ก็ถูกดำเนินคดีตามกฎหมาย ถึงขนาดถูกจับสึกไปแล้ว ก็ต้องยอมรับ เพราะฉะนั้น หากพระใน มส. ซึ่งเป็นหน่วยงานออกคำสั่งบังคับพระสงฆ์ทั่วประเทศ เมื่อถูกดำเนินคดีเสียเอง แต่กลับจะอ้างว่าไม่ควรดำเนินคดีกับพระชั้นผู้ใหญ่ ย่อมจะไม่เป็นธรรมอย่างยิ่ง
อันที่จริง พระที่มีตำแหน่งใน มส. ยิ่งสมควรจะมีหิริ-โอตตัปปะ และมีความเสียสละเพื่อส่วนรวม มากกว่าพระทั่วๆ
ไป เมื่อเกิดเรื่องเช่นนี้ ควรจะกราบลาออกจากตำแหน่ง มากกว่าจะดื้อด้านอยู่ในตำแหน่ง แล้วยังพยายามใช้ตำแหน่งมารปกป้องตัวเองต่อไป
แม้การดำเนินคดีกับพระชื่อดัง พระชั้นผู้ใหญ่ อาจทำให้พุทธศาสนิกชนเสียความรู้สึกไปบ้าง เพราะมีความเชื่อถือศรัทธาในพระพุทธศาสนาเป็นพื้นฐาน แต่เนื้อแท้ของพระพุทธศาสนา คือ พระพุทธรรมและพุทธวินัย การดำเนินคดีกับพระสงฆ์ที่ปฏิบัติผิดเพี้ยนไปจากพระพุทธรรมและพุทธวินัยจึงเป็นสิ่งที่จำเป็น เพราะหากปล่อยไว้ต่อไป จะกลายเป็นว่าพระชั้นผู้ใหญ่ที่ปฏิบัติผิดเพี้ยนมีสถานะเป็นอภิสิทธิ์ชน อยู่เหนือพุทธรรมและพุทธวินัย ซึ่งถ้าปล่อยไว้จะทำให้เสื่อมยิ่งกว่า
การขจัดอลัชชีหรือผู้กระทำผิดในพุทธวินัย ย่อมเป็นการปกปักรักษา และช่วยพระพุทธศาสนาในระยะยาว
ถาม : ผู้อำนวยการสำนักพระพุทธศาสนา (ผอ.พศ.) ปฏิบัตินอกเหนือจากอำนาจหน้าที่ในตำแหน่งหรือไม่?
ตอบ : ผอ.พศ.เป็นข้าราชการแผ่นดิน มิเพียงมีหน้าที่สนองงาน มส.เท่านั้น แต่จะต้องปกป้องดูแลให้เกิดความถูกต้องตามกฎหมาย และรักษาผลประโยชน์ส่วนรวมของแผ่นดิน โดยการสนองงานของ มส. นั้น ก็ไม่ได้หมายรวมถึงการปกป้องการ
กระทำความผิดส่วนตนของกรรมการ มส.บางคน
กรณีคดีทุจริตเงินทอนวัด เมื่อพนักงานสอบสวนได้ตรวจสอบข้อมูลหลักฐานข้อเท็จจริง ได้ความว่าเกิดการกระทำผิดกฎหมาย โครงการที่ พศ.ดูแลอยู่เกิดการทุจริตเงินทอนวัด โดยมีเจ้าอาวาสและผู้บริหารวัดบางแห่งเกี่ยวข้องด้วย เกิดความเสียหายแก่เงินแผ่นดินในความดูแลของ พศ. ตัว ผอ.พศ.จึงต้องปฏิบัติหน้าที่ด้วยการไปแจ้งความร้องทุกข์กล่าวโทษต่อพนักงานสอบสวนตากฎหมาย
ตรงกันข้าม หาก ผอ.พศ.ไม่ไปร้องทุกข์กล่าวโทษ ก็จะเข้าข่ายละเว้นการปฏิบัติหน้าที่เสียเอง
ถาม : คดีในทางโลก และคดีในทางสงฆ์ ควรจะเดินไปอย่างไร?
ตอบ : คดีความในทางโลก ก็ว่ากันไปตามฐานความผิด บางกรณีอาจจะเข้าข่ายฟอกเงิน หรือจะต้องมีการติดตามยึดทรัพย์ แล้วแต่กรณี ซึ่งในทางอาญาจะต้องต่อสู้คดีกันอีกหลายชั้น ทั้งศาลชั้นต้น ศาลอุทธรณ์ และศาลฎีกา
แต่การกระทำเช่นนี้ในทางสงฆ์ เข้าข่ายปาราชิก พ้นจากความเป็นสงฆ์ และกลับมาบวชอีกก็ไม่ได้
การปาราชิกในทางสงฆ์ ไม่ใช่โทษประหารชีวิต แต่เกิดจากการกระทำของนักบวชที่ทำตัวล้มเหลวในการบวช ปวารณาตัวเองว่าจะลดละเลิก ปฏิบัติตามพระธรรมวินัย แล้วกระทำการอันเป็นการฝ่าฝืนร้ายแรง จึงถือเป็นเป็นการทำตัวล้มเหลวในการบวช แล้วไม่สามารถบวชได้อีก
เรื่องนี้ องค์กรปกครองคณะสงฆ์ควรจะต้องดำเนินการในทางวินัยสงฆ์ต่อไป โดยไม่ต้องรอคดีในทางโลก ซึ่งอีกหลาย
ชั้นศาล ซึ่งที่ผ่านมาหลายกรณี เมื่อเกิดเรื่องร้ายแรงขึ้น ในทางสงฆ์ก็สามารถดำเนินการได้โดยไม่ต้องรอผลคดีในทางโลก เช่น พระเสพยาบ้า เสพเมถุน พระทุจริตเงินทอนวัด ฯลฯ มีกรณีที่ดำเนินการได้ทันที ไม่ต้องรอคดีตามกฎหมายบ้านเมือง
กรณีนี้ เมื่อผู้เกี่ยวข้องบางรายเป็นกรรมการ มส. ยิ่งจะปล่อยปละละเลยไม่ได้ มิฉะนั้น จะเกิดความเสียหายต่อองค์กรปกครองคณะสงฆ์ว่าใช้อำนาจอุ้มพวกเดียวกันเอง
กรรมการ มส. ที่มีส่วนได้เสีย ไม่ควรเข้าร่วมการตรวจสอบ และควรพ้นจากตำแหน่งใน มส.ไปเสียก่อนด้วย
ถาม : ปัจจุบัน มีกรรมการมหาเถรสมาคมหลายรูปถูกกล่าวหาพัวพันกับการทุจริต ถึงเวลาต้องพิจารณาความคงอยู่ การได้มา โครงสร้างอำนาจและระบบการบริหารงานของคณะสงฆ์ใหม่ หรือไม่?
ตอบ : ถึงเวลาที่ต้องสังคายนา เพื่อทำให้มีการถ่วงดุล ตรวจสอบ และเพิ่มประสิทธิภาพในการบริหารกิจการพระพุทธศาสนาให้เจริญงอกงามยิ่งๆ ขึ้น
ปัจจุบัน อำนาจบริหาร นิติบัญญัติ และตุลาการ(วินัยธรณ์) รวมศูนย์อยู่ที่ มส. ทำให้มหาเถระสมาคมต้องมีภารกิจหนักอึ้งอย่างยิ่ง หากสุขภาพไม่เอื้ออำนวย หรือมีความหย่อนยาน ก็จะทำให้การจัดการคณะสงฆ์ไม่มีประสิทธิภาพ และเกิดปัญหาหมักหมม เรื้อรัง จึงสมควรจะปฏิรูปโครงสร้างอำนาจ
ควรกระจายอำนาจออกไปสู่ท้องถิ่น และให้พุทธบริษัทแต่ละท้องที่มีการควบคุมกำกับดูแล จะเป็นการช่วยแบ่งเบาภารกิจที่หนักอึ้งออกไปได้มาก ซึ่งจะเป็นผลดีต่อธรรมาภิบาลของการบริหารจัดการในคณะสงฆ์ด้วย
ถาม : การบริหารเงินบริหารทรัพย์สินของวัดและของพระสงฆ์ ควรจะยึดพระธรรมวินัยอย่างเคร่งครัดหรือไม่? อย่างไร?
ตอบ : พระธรรมวินัยชี้ชัดไว้ว่า เงินเป็นอสรพิษ แต่ปัจจุบัน กลับมีการใช้เงิน ใช้วัตถุเป็นตัวตั้งในการบริหารจัดการภายในวงการสงฆ์ มีการใช้ตำแหน่ง มียศพระกระทั่งมีการแห่แหนฉลองกันใหญ่โต
เป็นการเอาของที่เป็นอันตรายต่อสงฆ์ที่ปวารณาว่าจะลดละกิเลส ให้ถูกล่อและเต็มใจให้ล่อด้วยเครื่องกิเลสเสียเอง ทั้งยศถาบรรดาศักดิ์ และทรัพย์สินเงินทอง
ถึงเวลาที่กิจการพระพุทธศาสนาควรกลับไปหาพระธรรมวินัยเคร่งครัด พระที่บวชคือปวารณาตนทิ้งกิเลส ทิ้งแม้กระทั่งตัวกูของกู ปล่อยวางให้คนอื่นดูแล
ทรัพย์สินเงินทองของพระและของวัด ไม่ควรจะมีของส่วนตัว ไม่ควรที่พระจะเข้าไปยุ่งเกี่ยว เป็นการแบกกิเลส เสมือนเอาอสรพิษมาพันคอ เป็นปฏิปักษ์ต่อการปฏิบัติธรรม สมควรสร้างระบบที่ให้พุทธบริษัทสี่ช่วยดูแลและอำนวยความสะดวกในการปฏิบัติกิจของสงฆ์อย่างแท้จริง
ส่วนใครอยากจะมีเงินร้อยล้านพันล้านในบัญชี และในรูปทรัพย์สินอื่นๆ ก็ไม่ควรจะมาบวชบังหน้า ควรออกไปประกอบสัมมาอาชีพ จ่ายภาษีเหมือนพุทธศาสนิกชนคนอื่นๆ
ถาม : ประชาชนสามารถมีส่วนร่วมในการปฏิรูปกิจการพระพุทธศาสนาให้กลับไปสู่หลักการของพุทธรรม จะสามารถแสดงออกถึงความรังเกียจพระที่สะสมวัตถุเงินทอง ใฝ่หาลาภยศตำแหน่ง สักแต่ว่าใส่เครื่องแบบพระได้หรือไม่?
ตอบ : ประชาชนควรต้องกลับมาใส่ใจที่แก่นแท้ของพระพุทธศาสนนา ไม่ใช่ดูแค่เปลือก และนับถือกันแค่ผ้าเหลืองกับการโกนศีรษะ
ควรกราบพระที่วัตรปฏิบัติ มิใช่ที่ความใหญ่โตของสิ่งปลูกสร้าง
ถ้าพระรูปใดมีพฤติกรรมไม่เหมาะสม แทนที่จะตั้งใจบวชเพื่อเจริญรอยตามพระศาสดา แต่กลับมีความประพฤตินอกรีตนอกรอย เช่น เสพยาบ้า มั่วสีกา บ้าสมบัติ ติดหรูหรา เช้าเอน เพลนอน บ่ายพักผ่อน กลางคืนจำวัด ฯลฯ พุทธศาสนิกชนก็สมควรเตือน อย่ากราบไว้บูชา หรือเอาเงินไปถวายอันเป็นการส่งเสริมให้มีการขยายการกระทำเช่นนั้นอีก
พุทธศาสนิกชน ในฐานะส่วนหนึ่งของพุทธบริษัทสี่ สมควรแสดงออกให้ชัดเจนว่าจะต้องมีการจัดการกับพระที่ครองตนให้สมกับความเป็นพระ ในสมัยก่อน ถึงได้มีการสอบไล่พระ ทำให้พระที่ไม่ศึกษาพุทธรรมจะต้องไล่ออกจากความเป็นพระ
พุทธบริษัทสี่ ต้องร่วมมือกันพิทักษ์ไว้ซึ่งพระธรรมวินัยของพระพุทธเจ้า ปฏิรูประบบและหน่วยงานที่เกี่ยวข้องกับพระพุทธศาสนาอย่างจริงจัง มิให้หลักธรรมคำสอนอันดีงามและจริงแท้ถูกบิดเบือนจนบิดเบี้ยว มิใช่เครื่องมือดับทุกข์อีกต่อไป แต่กลายเป็นเครื่องมือในกลไกตลาดเพื่อแสวงหาผลประโยชน์ของมารศาสนา
เงื่อนไขการแสดงความคิดเห็น ซ่อน
โปรดอ่านก่อนแสดงความคิดเห็น
1.กรุณาใช้ถ้อยคำที่ สุภาพ เหมาะสม ไม่ใช้ ถ้อยคำหยาบคาย ดูหมิ่น ส่อเสียด ให้ร้ายผู้อื่น สร้างความแตกแยกในสังคม งดการใช้ถ้อยคำที่ดูหมิ่นหรือยุยงให้เกลียดชังสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์
2.หากพบข้อความที่ไม่เหมาะสม สามารถแจ้งได้ที่อีเมล์ online@naewna.com โดยทีมงานและผู้จัดทำเว็บไซด์ www.naewna.com ขอสงวนสิทธิ์ในการลบความคิดเห็นที่พิจารณาแล้วว่าไม่เหมาะสม โดยไม่ต้องชี้แจงเหตุผลใดๆ ทุกกรณี
3.ขอบเขตความรับผิดชอบของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ อยู่ที่เนื้อหาข่าวสารที่นำเสนอเท่านั้น หากมีข้อความหรือความคิดเห็นใดที่ขัดต่อข้อ 1 ถือว่าเป็นกระทำนอกเหนือเจตนาของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ และไม่เป็นเหตุอันต้องรับผิดทางกฎหมายในทุกกรณี