หัวข้อนี้มาจากการเปิดตัวงานวิจัยและเวทีเสวนา “เปิดอนาคตที่ถูกลืมของเด็กผู้ลี้ภัยสู่การจัดการที่เหมาะสมของรัฐไทย” เนื่องในสัปดาห์วันผู้ลี้ภัยโลกประจำปี พ.ศ. 2561 ขององค์กรช่วยเหลือเด็กประจำประเทศไทย (Save the children) ที่หอศิลปวัฒนธรรมแห่งกรุงเทพมหานครองค์กรช่วยเหลือเด็กประจำประเทศไทย (Save the children) เมื่อเร็วๆ นี้
น.ส.รติรส ศุภาพร ผู้จัดการอาวุโสฝ่ายการโยกย้ายถิ่นฐานและการพลัดถิ่นองค์การช่วยเหลือเด็กระดับภูมิภาคเอเชีย กล่าวว่าประเทศไทยได้กลายเป็นหนึ่งในพื้นที่ที่ผู้ลี้ภัยและผู้แสวงหาที่ลี้ภัยได้อพยพหนีภัยสงครามภัยจากความขัดแย้งทางการเมืองหรือภัยจากการได้รับผลกระทบจากความเชื่อทางศาสนาเข้ามาอยู่เป็นจำนวนมาก
ผู้ลี้ภัยในประเทศไทยแบ่งออกเป็นสองกลุ่มคือผู้ลี้ภัยในค่ายพักพิงชั่วคราวและผู้ลี้ภัยที่อาศัยอยู่ภายนอกค่ายผู้อพยพหรือผู้ลี้ภัยในเมือง ซึ่งส่วนใหญ่ อาศัยอยู่ในกรุงเทพมหานครและปริมณฑล โดยข้อมูลจากสำนักงานข้าหลวงใหญ่ผู้ลี้ภัยแห่งสหประชาชาติ (UNHCR) ระบุตัวเลขผู้ลี้ภัยในเมืองมีประมาณ 6,000 คน ซึ่งเป็นเด็กมากกว่า 2,000 คน จากกว่า 50 ชาติพันธุ์ โดยมีจำนวนร้อยละ 55มาจากปากีสถาน รองลงมาเวียดนาม ร้อยละ 10 ปาเลสไตน์ ที่เหลืออีกกว่าร้อยละ 30 มาจากโซมาเลีย ซีเรียอิรัก ศรีลังกา กัมพูชา จีน อิหร่านและอื่นๆ โดยผู้ลี้ภัยเหล่านี้กำลังรอโอกาสที่จะได้ไปตั้งถิ่นฐานใหม่ที่ประเทศที่สามแต่โอกาสมีน้อยมากซึ่งในปี พ.ศ. 2561 ที่ผ่านมามีผู้ลี้ภัยจากไทยไปตั้งถิ่นฐานใหม่เพียงร้อยละ 5.5 จากจำนวนผู้ลี้ภัยในเมืองทั้งหมด
แม้ประเทศไทยจะไม่ได้เป็นรัฐภาคีของอนุสัญญาว่าด้วยผู้ลี้ภัย พ.ศ.2494 (the 1951 Refugee Convention) หรือพิธีสารเลือกรับ พ.ศ.2510 (the 1967Protocol) แต่เมื่อเดือนกันยายนปี พ.ศ. 2559 ที่ผ่านมา ในที่ประชุมสุดยอดผู้นำโลกว่าด้วยวิกฤติผู้ลี้ภัยที่นครนิวยอร์ก พลเอกประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรีของประเทศไทยได้ให้คำมั่นสัญญาที่จะจัดตั้งกลไกการคัดกรองผู้ลี้ภัยเองเพื่อจัดการกับปัญหาการค้ามนุษย์และสนับสนุนหลักการไม่ส่งกลับ (Non Refoulement) และรัฐบาลไทยยังได้สัญญาในการประชุมครั้งนั้นอีกว่าจะส่งเสริมให้ผู้ลี้ภัยเข้าถึงบริการด้านการศึกษาสุขภาพและการแจ้งเกิดให้มากขึ้นแต่ในความเป็นจริงจากการลงพื้นที่กลับพบว่าเด็กๆ ยังถูกละเมิดสิทธิและถูกปฏิเสธที่จะได้รับสิทธิมนุษยชนขั้นพื้นฐานในหลากหลายกรณีและแม้ว่าไทยจะมีนโยบายว่าเด็กทุกคนไม่ว่าสัญชาติใดสามารถที่จะเข้าถึงการศึกษาของรัฐได้ฟรีแต่ในความเป็นจริงกลับไม่เป็นเช่นนั้นยังคงมีเด็กผู้ลี้ภัยที่ควรได้ไปโรงเรียนเข้าไม่ถึง
น.ส.รติรสกล่าวเรียกร้อง ต่อรัฐบาลไทยให้ดูแลจัดการกับเด็กผู้ลี้ภัยอย่างเหมาะสมดังนี้ 1.ให้นำเด็กออกจากสถานกักกันของสำนักงานตรวจคนเข้าเมืองโดยทันทีไม่ควรมีเด็กคนไหนที่จะต้องถูกกันตัวในสถานที่และสภาพแวดล้อมแบบนั้นและให้รัฐจัดหาสถานที่ที่เหมาะสมให้กับเด็กและครอบครัวได้พักอาศัยอยู่ร่วมกันโดยไม่แยกครอบครัวของเด็กด้วย 2.ขอให้รัฐส่งเสริมและสนับสนุนการศึกษาให้กับเด็กผู้ลี้ภัยตามที่พลเอกประยุทธ์ ได้ให้คำมั่นสัญญาในการประชุมสุดยอดผู้นำโลกว่าด้วยวิกฤติผู้ลี้ภัย3.ขอให้รัฐมีการจัดอบรมและพัฒนาศักยภาพของครูและเจ้าหน้าที่ของโรงเรียนของรัฐ, ตำรวจตม. ตำรวจท่องเที่ยว และตำรวจทั่วไปและผู้ทำงานให้ความช่วยเหลือแก่ผู้ลี้ภัยให้เข้าใจถึงสิทธิและการปฏิบัติต่อเด็กๆ ผู้ลี้ภัยด้วย
ขณะที่ น.ส.ปริญญา บุญฤทธิ์ ฤทัยกุล ตัวแทนจากเครือข่ายสิทธิผู้ลี้ภัยและคนไร้รัฐกล่าวว่า แม้ว่ารัฐไทยจะมีนโยบาย Education for all หรือการศึกษาเพื่อคนทั้งมวลสำหรับเด็กทุกคนแต่มีปัญหาอยู่ที่ผู้ปกครองที่จะพาไปโรงเรียนยังถูกกักตัวอยู่ใน ตม. เด็กเองก็ยังถูกกักตัวพร้อมกับผู้ปกครอง และหากไม่ถูกกักตัวครอบครัวของผู้ลี้ภัยที่อยู่ในเมืองหลวงก็ต้องใช้ชีวิตอย่างหลบๆ ซ่อนๆ และมีความเสี่ยงที่จะถูกจับจึงทำให้ไม่กล้าส่งลูกไปโรงเรียนก็ทำให้เด็กๆ ขาดโอกาสที่จะเข้าถึงการศึกษาของเด็กผู้ลี้ภัยจึงเป็นอีกหนึ่งปัญหาใหญ่ที่รอการจัดการที่เหมาะสม จากสถิติผู้ลี้ภัยมีจำนวนเพียงหลักร้อยคนเท่านั้นที่ได้เข้าเรียนนอกจากบางครอบครัวที่มีศักยภาพหรือในอดีตมีโรงเรียนอินเตอร์บางแห่งให้ทุนการศึกษา
ครับ ก็ยังมีอีกหลายๆ ท่านที่แสดงความเห็นในเรื่องนี้ ผมแค่สรุปมาให้อ่าน เผื่อว่าภาครัฐภาคเอกชน จะช่วยได้ก็ช่วยกันไปตามหลักมนุษยธรรม
เงื่อนไขการแสดงความคิดเห็น ซ่อน
โปรดอ่านก่อนแสดงความคิดเห็น
1.กรุณาใช้ถ้อยคำที่ สุภาพ เหมาะสม ไม่ใช้ ถ้อยคำหยาบคาย ดูหมิ่น ส่อเสียด ให้ร้ายผู้อื่น สร้างความแตกแยกในสังคม งดการใช้ถ้อยคำที่ดูหมิ่นหรือยุยงให้เกลียดชังสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์
2.หากพบข้อความที่ไม่เหมาะสม สามารถแจ้งได้ที่อีเมล์ online@naewna.com โดยทีมงานและผู้จัดทำเว็บไซด์ www.naewna.com ขอสงวนสิทธิ์ในการลบความคิดเห็นที่พิจารณาแล้วว่าไม่เหมาะสม โดยไม่ต้องชี้แจงเหตุผลใดๆ ทุกกรณี
3.ขอบเขตความรับผิดชอบของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ อยู่ที่เนื้อหาข่าวสารที่นำเสนอเท่านั้น หากมีข้อความหรือความคิดเห็นใดที่ขัดต่อข้อ 1 ถือว่าเป็นกระทำนอกเหนือเจตนาของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ และไม่เป็นเหตุอันต้องรับผิดทางกฎหมายในทุกกรณี