หลังจากการประกาศของรัฐบาลว่า จะคลายล็อกพรรคการเมืองให้สามารถทำกิจกรรมทางการเมืองบางประเภทได้ อาทิ ให้พรรคจัดประชุมได้ แต่ก็ให้ทำได้แค่การเลือกตั้งกรรมการบริหารพรรค และทำธุรการได้บางประการ ที่จำเป็นสำหรับการเตรียมตัวเข้าสู่การเลือกตั้ง ขณะที่แผนการเลือกตั้งก็ยังไม่มีภาพชัดเจน ประกอบกับการทำไพรมารีโหวตที่ยังมีข้อถกเถียงไม่จบในกระบวนการว่าจะทำหรือไม่?
แม้ว่าจะมีการออกมาพูดของรองนายกฯ ว่า “คงไม่มีการทำไพรมารีโหวตตามที่สภานิติบัญญัติแห่งชาติ (สนช.) เขียนไว้ในบทเฉพาะกาลของ พ.ร.บ.ประกอบรัฐธรรมนูญว่าด้วยพรรคการเมือง จึงเห็นว่าวิธีการที่คณะกรรมการร่างรัฐธรรมนูญ (กรธ.) เสนอมาแต่แรก คือ ให้มีกรรมการสรรหาขึ้นมาในพรรค ประกอบด้วย 11 คน มาจากตัวแทนกรรมการบริหาร 4 คน จากสมาชิกพรรค 7 คน ลงไปคุยกับสมาชิกแต่ละเขต แล้วรวบรวมรายชื่อผู้สมัครมาเสนอให้กรรมการบริหารพรรคพิจารณาอีกครั้ง ซึ่ง คสช. ได้ระบุว่าแนวทางนี้มีความเป็นไปได้สูง” ก็ตามแต่ก็ยังไม่ได้ฟันธงอย่างแน่ชัดว่าจะไม่ทำ เป็นผลให้การจัดขบวนทัพของพรรคการเมืองต่างๆ เป็นไปได้ไม่เต็มที่นัก เพราะอย่าลืมว่ามีความแตกต่างระหว่างพรรคใหม่และพรรคเดิมอยู่มาก ความกระชั้นของการจัดการเลือกตั้ง ที่ยังไม่กำหนดอะไรชัดเจน ทำให้การเตรียมตัวของพรรคการเมือง ประกอบกับภาระการเตรียมตัวของพรรคการเมือง ทั้งในเรื่องการหาสมาชิกใหม่ การเตรียมตัวผู้สมัคร กระทั่งการเตรียมตัวทำไพรมารีโหวตหรือไม่ กำลังบีบคั้นภาระของพรรคการเมืองเพื่อเข้าสู่การเลือกตั้ง ให้เตรียมตัวแต่ห้ามทำอะไร โดยแต่ละพรรคก็กำลังจัดการภายในพรรคตัวเองเท่าที่ทำได้ โดยประชาธิปัตย์ มีการเตรียมตัวเข้าสู่การเลือกตั้ง และเรียกความพร้อมของสมาชิกด้วยการประกาศว่าจะมีการหยั่งเสียงเพื่อสรรหาหัวหน้าพรรคในการเลือกตั้งครั้งหน้าโดยไม่สนว่ากฎหมายจะบังคับการทำไพรมารีหรือไม่ รวมถึงการเร่งให้มีการปลดล็อกเพื่อให้พรรคดำเนินการตามกรอบกติกาใหม่ภายใต้ พ.ร.บ. พรรคการเมืองใหม่ได้ทัน เนื่องจากพ.ร.บ. พรรคการเมืองใหม่ได้เพิ่มกระบวนจัดการของพรรคการเมืองอย่างมาก โดยเฉพาะพรรคเก่าอย่างประชาธิปัตย์ ได้เริ่มแต่งตัวให้พร้อมสำหรับการเลือกตั้ง และการเร่งรัดให้มีการยืนยันว่าจะทำไพรมารีโหวตหรือไม่? ขณะที่พรรคเพื่อไทยในการเตรียมการเลือกตั้ง ตั้งแต่การเรียกแถวกระชับยิ่งขึ้น การจัดแถวภายใน ด้วยการจัดการความขัดแย้งภายในพรรค ซึ่งถูกตีตกไปโดยการควบคุมไม่ให้แกนนำมุ้งไหน ได้เป็นหัวหน้าพรรคเลย ตั้งแต่พิชัย สุดารัตน์ ชัชชาติ จนถึงการลดการให้สัมภาษณ์ของภูมิธรรม และจาตุรนต์ที่ลดการออกงานเสวนาและให้สัมภาษณ์ตามหน้าสื่อต่างๆ ลง และแทนที่ด้วย
การปล่อยข่าวทดสอบกระแสหัวหน้าพรรคใหม่ เพื่อทดสอบกระแสของคนรุ่นใหม่ถึง กระแสความชื่นชอบใครบ้างในตระกูลชินวัตรตั้งแต่หลาน พี่เขย และลูกเขยที่ไล่เลียงกระแสออกมาเป็นระยะๆ ว่าใครจะถูกใจสังคมมากกว่ากันและทิศทางควรไปทางคนรุ่นใหม่ หน้าใหม่ทางการเมือง หรือคนรุ่นเก่ามากกว่ากัน แม้จะมีการปฏิเสธในภายหลังว่าไม่ไป แต่ก็ถือเป็นการหยั่งกระแสใช่หรือไม่? ที่น่าสนใจคือมีสื่อหนึ่งเป็นผู้เริ่มปล่อยกระแสนี้เสมอและเปลี่ยนชื่อไปเรื่อยๆ รายชื่อที่เปิดเผยมาในรอบหลังๆ นี้ทั้งหมดแม้จะไม่ได้เป็นชินวัตรโดยตรงแต่ก็รู้ว่าเป็นญาติคนสนิทในตระกูล และก็เป็นที่รู้กันว่าแม้จะมีการเปิดเผยชื่อหัวหน้าพรรคก็ไม่ได้หมายความว่าคนนั้นจะได้เป็นจริงๆ เพราะทั้งหมดก็ขึ้นอยู่กับการเลือกของนายใหญ่คนเดียว เห็นได้จากลำดับของหัวหน้าพรรค หลังการรัฐประหารปี 2549 ตั้งแต่พรรคพลังประชาชน โดยนายสมัคร นายสมชาย ตลอดจนพรรคเพื่อไทย ก็ได้ นายบรรจงศักดิ์ สุชาติ ยงยุทธ และจารุพงศ์ แต่สุดท้ายก็ไม่ได้ มีใครได้ตำแหน่งนายกฯ เพราะหัวหน้าใหญ่ตัดสินใจให้น้องสาวมาลงตำแหน่งนายกฯเอง? ทั้งนี้กระบวนการสอดไส้สลับชื่อดังกล่าวก็ทำเป็นประจำจนเชื่อได้ว่าไม่ว่าเวลานี้จะประกาศใครออกมาเป็นหัวหน้าพรรคก็ไม่ได้ชี้ชัดว่าบุคคลดังกล่าวจะเป็นผู้สมัครแข่งขันในตำแหน่งนายกรัฐมนตรี ส่วนใครจะมาเป็นว่าที่นายกฯของพรรคเพื่อไทย ครั้งนี้ ไม่ง่ายในสายตานายใหญ่ที่จะตัดสิน เพราะกำลังสู้กับ คสช. ไม่ใช่ประชาธิปัตย์อย่างทุกครั้ง ภาพที่คนในพรรคอยากให้เห็นจึงเป็นการต่อสู้ของคนมีอุดมการณ์ประชาธิปไตย อย่างนายจาตุรนต์ แต่ในสายตาทักษิณอาจมองว่าการสั่งการแบบควบคุมเบ็ดเสร็จ ตลอดจนการติดแบรนด์ทักษิณเพื่อหาเสียงในพื้นที่อีสาน ต้องเอาคนในตระกูลชินวัตรจึงถือเป็นโจทย์ที่ตัดสินใจยาก? ในมุมของพรรคเล็กแม้จะมีข้อกังวลกับการทำไพรมารี เพราะจะส่งผลมากต่อพรรคใหม่ และพรรคเล็กที่ไม่ได้มีสาขาทั้งประเทศ แต่ก็ไม่ได้ทำให้การเดินเกมของพรรคเล็กลดลง โดยเฉพาะพรรคอนาคตใหม่ที่เมื่อเจาะจงไปดูการเคลื่อนไหวจะเห็นได้ว่า มีรูปแบบการเคลื่อนไหวในแบบต่างๆ ตั้งแต่รูปแบบเริ่มต้นคือการโฆษณาล่วงหน้า โดยจะมีการทำการตลาดในช่วงแรกอย่างหนักผ่านโซเชียลมีเดียเพื่อให้เป็นที่รู้จัก แต่เมื่อมีการจดแจ้งพรรคการเมืองเรียบร้อยแล้วก็ยกระดับการทำการตลาดเป็นการเดินสายประชาสัมพันธ์ มุ่งออกสื่อ ทั้งในสื่อหลัก และสื่อเครือข่ายอื่นๆ ร่วมกับการส่งสมาชิกที่เป็นระดับแกนนำสองถึงสามคน ไปร่วมเวทีเสวนาร่วมกับพรรคอื่นเพื่อยกระดับพรรคตัวเองให้เท่ากับพรรคขนาดใหญ่ทั้งหลาย เป้าหมายคือเพิ่มพื้นที่สื่อให้ตัวเอง และสุดท้ายคือการลงพื้นที่พบปะมวลชนกลุ่มต่างๆ ซึ่งเป็นการลงพื้นที่สลับการสื่อสารผ่านโซเชียลมีเดีย โดยแม้จะมีการแยกเดินระหว่าง 2 สายแกนนำ เพื่อเร่งพื้นที่ให้ได้มากที่สุดกว่า 45 จังหวัด แต่เมื่อวิเคราะห์ดูจะพบว่าไปจังหวัดละ 1-2 จุดเท่านั้น? และมีเพียงไม่กี่กลุ่มต่อจังหวัดที่เข้ามาคุยด้วย ?
โดยเน้นขยายผลทางโซเชียลมีเดีย จากความพยายามยกระดับเทียบชั้นกับพรรคใหญ่ ซึ่งน่าสนใจหากไม่ติดข้อสงสัยว่ากลุ่มทุนอนาคตใหม่มาจากไหน? ที่บอกว่าไม่มีนายทุนแต่แรกตอนนี้เป็นอย่างไร? เพราะการเดินสายทั่วประเทศ สลับกับการประชุมเครือข่ายในแต่ละพื้นที่ ต้องใช้เงินมากใช่หรือไม่? ประกอบกับการพูดสำทับของทักษิณ ในเรื่องที่เหมือนจะให้เครดิตหัวหน้าพรรคอนาคตใหม่ ก็ยิ่งทำให้สงสัยขึ้นไปอีกว่าตกลงแล้วที่มาจากไหน? เพราะถ้าเป็นเช่นนั้นจะไม่ใช่เกมใหม่ที่ซับซ้อนเท่าไร?เพราะการเกิดขึ้นของอนาคตใหม่ ในการลงพื้นที่แบบหนึ่งวันหรือครึ่งวันในหลายพื้นที่โดยยังไม่ปรากฏกระบวนการที่เฟ้นหาผู้สมัครที่เป็นตัวจริงที่จะชนะในแต่ละเขต เพียงแค่มุ่งเน้นการส่ง สส.เขตลงในพื้นที่ที่พอสู้ได้ ผลที่ได้นอกจากจะได้คะแนนบัญชีรายชื่อ ก็จะกลายเป็นพรรคตัวแปรในการจัดการพื้นที่ที่มีการชนะแพ้กันไม่เกิน 3,000 คะแนน โดยบังเอิญอีกด้วย แต่ถึงอย่างนั้นเมื่อประเมินดูจะพบว่า ไม่น่าได้ที่นั่งเป็นกอบเป็นกำแบบที่เคยพูดว่าจะตั้งรัฐบาลเป็นพรรคเดี่ยว ก็ทำให้หวนนึกถึง พรรคที่ก่อตั้งใหม่ในการเลือกตั้งปี 2551 และ 2554 บางพรรค ที่มุ่งเน้นการได้มาของที่นั่งในระบบบัญชีรายชื่อ และยังส่งผลอย่างมากในการตัดคะแนนเขตในพื้นที่สุ่มเสี่ยงต่อการเปลี่ยนขั้วผู้ชนะ เมื่อเป็นเช่นนี้บางคนอาจคิดได้ว่า ทำไมพรรคที่น่าจะได้ฐานการสนับสนุนจากพื้นที่เหนือและอีสาน ถึงมุ่งเน้นการลงพื้นที่ในภาคใต้ และภาคกลางไม่น้อย ซึ่งต้องรอดูต่อไปว่าหากไม่มีไพรมารีโหวตจริงๆ อนาคตใหม่จะส่งใครลง สส. เขตในพื้นที่ไหนบ้าง? ซึ่งจะเป็นตัวยืนยันว่าสมมุติฐานที่กล่าวมาเป็นจริงหรือไม่? หากเป็นจริงก็บอกได้เพียงว่า คนรุ่นใหม่ที่ทีแรกพอจะเป็นความหวังให้สังคมก็อาจจะไม่ใช่คนรุ่นใหม่จริง วิธีการก็ยังติดกับการเมืองแบบเก่าๆ และไม่ว่าเจตนาที่คิดตั้งต้นจะเป็นเช่นไรแต่คนที่ได้ประโยชน์ตอนท้ายดูเหมือนจะกลายเป็นพรรคใหญ่อย่างพรรคทักษิณหรือไม่? อย่างไรก็ตามไม่ว่าพรรคการเมืองจะมีท่าทีอย่างไรก็ไม่ได้หมายความว่าจะทำได้ดั่งใจ เพราะสุดท้ายแล้วกติกากลางยังไม่ได้ชี้ชัดแนวทางในการปฏิบัติของพรรคการเมือง อยู่ที่กกต และ คสช. ที่จะจัดการ กติกากลางให้พร้อมและยุติธรรมต่อทุกฝ่าย ขณะที่ยังมีพรรคการเมืองอีกกลุ่มหนึ่งที่ประกาศชัดเจนว่าสนับสนุนรัฐบาลและคสช.ที่มีทั้งเล็กและพรรคการเมืองใหม่ จึงต้องฝากความหวังไว้ที่ กกต.และคสช. ที่จะจัดการให้การเลือกตั้งในครั้งนี้ให้บริสุทธิ์ยุติธรรม
“...ระหว่างสหายสมควรพูดความจริง...” คำคม
โกวเล้ง จากเรื่องเล็กเซี่ยวหงส์
เงื่อนไขการแสดงความคิดเห็น ซ่อน
โปรดอ่านก่อนแสดงความคิดเห็น
1.กรุณาใช้ถ้อยคำที่ สุภาพ เหมาะสม ไม่ใช้ ถ้อยคำหยาบคาย ดูหมิ่น ส่อเสียด ให้ร้ายผู้อื่น สร้างความแตกแยกในสังคม งดการใช้ถ้อยคำที่ดูหมิ่นหรือยุยงให้เกลียดชังสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์
2.หากพบข้อความที่ไม่เหมาะสม สามารถแจ้งได้ที่อีเมล์ online@naewna.com โดยทีมงานและผู้จัดทำเว็บไซด์ www.naewna.com ขอสงวนสิทธิ์ในการลบความคิดเห็นที่พิจารณาแล้วว่าไม่เหมาะสม โดยไม่ต้องชี้แจงเหตุผลใดๆ ทุกกรณี
3.ขอบเขตความรับผิดชอบของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ อยู่ที่เนื้อหาข่าวสารที่นำเสนอเท่านั้น หากมีข้อความหรือความคิดเห็นใดที่ขัดต่อข้อ 1 ถือว่าเป็นกระทำนอกเหนือเจตนาของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ และไม่เป็นเหตุอันต้องรับผิดทางกฎหมายในทุกกรณี