วันศุกร์ ที่ 5 ธันวาคม พ.ศ. 2568
ปัญหาเรื่องทุจริตคอร์รัปชันในประเทศของเรา มีให้ได้ยินอยู่ตลอดทุกปี ไม่ว่าจะปัญหาเสาไฟกินรีที่ตั้งอยู่บนทางรกร้าง ถนนหลุมบ่อและทางเท้าที่เหมือนค่ายกล
ทดสอบไหวพริบ หรือ ปัญหาการนำเข้าวัคซีนของรัฐบาลที่ล่าช้า สิ่งเหล่านี้ทำให้เรามองไปที่นักการเมืองหรือคนที่มีอำนาจ แท้จริงแล้วยังมีหลุมพรางที่เรามองข้ามอยู่
ถ้านายเอ็มทำงานออฟฟิศในองค์กรขนาดเล็ก ซึ่งในเวลาเลิกงานจะรับอาสาเป็นครูในสถานเลี้ยงดูเด็กกำพร้า ส่วนวันหยุดยาวจะเดินทางไกลเพื่อเป็นครูอาสาในพื้นที่ไกลปืนเที่ยง บ่อยครั้งที่นายเอ็มมักหยิบอุปกรณ์เครื่องเขียนของบริษัทมาให้เด็กๆ เพราะถือว่าเป็นการทำบุญและไม่ได้หยิบไปจำนวนมาก
เหตุการณ์ของนายเอ็ม บางคนคิดว่าไม่สำคัญอะไร เพราะบริษัทไม่เสียเวลาสนใจเรื่องเล็กน้อยแบบนี้ อีกอย่างการให้ทานเป็นสิ่งที่ดีไม่ใช่หรือ แล้วเราจะมัวกังวลทำไมในเมื่อเขาคิดดีทำดี!
นั่นแหละครับ ประเด็นที่ควรจะคิดใหญ่ เพราะการกระทำของนายเอ็มอาจไม่ได้ทุจริตใหญ่โตจนทำให้บริษัทเสียหายหรือมีผู้ได้รับผลกระทบเป็นวงกว้าง แต่ถือเป็นการทุจริตอยู่ดี โดยเราเรียกพฤติกรรมเช่นนี้ว่า “ทุจริตสีขาว” กล่าวคือ การกระทำที่ไม่เลวร้าย ไม่ได้ตั้งใจและไม่คาดคิดว่าจะเป็นการคอร์รัปชัน ซึ่งเป็นการกระทำที่คนส่วนใหญ่เห็นว่ารับได้ แต่ความร้ายกาจของทุจริตสีขาวคือการสร้างมายาคติหรือชุดความคิดที่ว่า “ใครๆ ก็ทำกัน”, “มองที่เจตนา” ฯลฯ ทำให้การ
กระทำเหล่านั้นถูกชำระล้างความผิดไปโดยสิ้นเชิง แล้วจริงๆ คนส่วนใหญ่มองว่าการทุจริตคอร์รัปชันมีหน้าตาอย่างไรกันแน่
หน้าตาของคำว่า ทุจริตคอร์รัปชัน มาพร้อมกับภาพของนักการเมืองหรือองค์กรขนาดใหญ่ คนส่วนมากจะนึกถึงการใช้อำนาจโดยมิชอบเพื่อกอบโกยผลประโยชน์หาพวกพ้องหรือตนเอง จนทำให้ส่วนรวมเกิดความเสียหายหรือสูญเสียโอกาสต่างๆ ไป ภาพใหญ่โตและการแสดงถึงอำนาจบางอย่างทำให้ประชาชนทั่วไปมองว่าเป็นปัญหาที่แก้ไขลำบากและไม่ใช่หน้าที่ของเขา เลยขอโบกมือลาและเบือนหน้าหนีดีกว่า ซึ่งก็ไม่มีใครฉุกคิดเลยว่า การหยิบอุปกรณ์ของสำนักงานไป ลัดคิว การเบิกเงินเกินไปไม่กี่บาท ตลอดจนการให้สินน้ำใจแก่กัน คือน้ำเลี้ยงของพฤติกรรมทุจริตจนนำไปสู่ความเสียหายใหญ่โตในอนาคต
จากผลสำรวจในปี 2021 ของ ABAC ร่วมกับ NIDA ให้ข้อมูลเกี่ยวกับการคอร์รัปชันทรัพย์สินในสำนักงานคิดเป็น 83.6% และ 87.6% ส่วนใหญ่ลัดคิวเพื่อซื้อสินค้าและบริการ นอกจากนั้น 80.2% เคยติดสินบนในการทำงานที่ผ่านมา ข้อมูลเหล่านี้เน้นย้ำให้เราเห็นว่า คนไทยกำลังเคยชินกับพฤติกรรมเหล่านี้มานานแค่ไหนแล้ว หันกลับมามองในบริษัทที่นายเอ็มเป็นพนักงานอยู่ ถ้ารู้ว่าการลักทรัพย์เป็นความผิดทางจริยธรรมแล้ว นายเอ็มจะทำอีกหรือไม่
คำตอบอาจจะฟันธงเลยไม่ได้ แต่การศึกษาของ Dan Ariely นักเศรษฐศาสตร์เชิงพฤติกรรม ให้ข้อมูลกับเราว่า การตัดสินเชิงจริยธรรมเป็นผลพวงมาจากตัวแปรหลักคือ โอกาสในการกระทำผิดและต้นทุนการทำผิด กล่าวคือ การทุจริตยิ่งมีโอกาสเกิดขึ้นได้มาก หากต้นทุนวัตถุสิ่งของนั้นมีมูลค่าน้อย โน้มนำให้เกิดการทุจริตจำนวนไม่มากแต่เนิ่นนานจนอาจสูญเสียมูลค่ามหาศาล อย่างกรณีของนายเอ็มที่เห็นว่าวัสดุหรือเครื่องเขียนของบริษัทที่ทางองค์กรได้จัดสรรมาใหม่ทุกๆ ปี มีต้นทุนไม่สูงมากนักที่จะทำให้บริษัทเสียหาย และสิ่งของเหล่านั้นได้ไปมอบให้เด็กขาดโอกาส ยิ่งทำให้การทำผิดถูกแทนที่ด้วยเจตนาดี โดยสถานการณ์แบบนี้เรากำลังใช้ Moral Licensing หรือใบอนุญาตกระทำผิดมาพิจารณาการกระทำของนายเอ็ม ส่วนนายเอ็มเองก็อาจจะมองตนเองว่ามีเจตนาที่ดี จึงเป็นข้อยกเว้นในการ
กระทำความผิด แล้วบริษัทจะมีทางแก้ไขได้อย่างไร
หน่วยงานหรือองค์กร ควรมีการตรวจสอบและกำหนดข้อบังคับให้ชัดเจน ขณะเดียวกัน อย่าเพิกเฉยต่อการทุจริตในรูปแบบต่างๆ การกระทำเพียงเล็กน้อยที่เมินเฉยนำมาสู่สถานการณ์ “ลอยนวล” ที่อาจจะทำให้เกิดการทุจริตในรูปแบบอื่นที่กระจายวงกว้างมากขึ้น แต่เหนือสิ่งอื่นใด บริษัทเองอาจจะไม่สามารถรู้ได้เองจึงต้องขอความร่วมมือจากทุกคนให้ช่วยดูแลทรัพย์สินของหน่วยงานหรือองค์กรนั้นๆ
Dan Ariely เขียนหนังสือ the (Honest) Truth about Dishonesty ได้บอกถึงปัจจัยหลักที่ทำให้คนเราทำผิดโดยไม่รู้ตัวว่าเป็นเรื่องการขัดกันแห่งผลประโยชน์นำไปสู่การโกงนั้นไม่ได้สร้างกระแสความกดดันให้กับสังคมที่ตระหนักว่าเป็นภัย คนส่วนใหญ่มักให้ความสนใจประเด็นคอร์รัปชันในระดับใหญ่ เช่น งบประมาณ
ที่ถูกใช้ไปอย่างน่าสงสัย หรือการจัดซื้อจัดจ้างของภาครัฐทำให้ปัญหาการทุจริตคอร์รัปชันเป็นภัยเงียบที่ฉาบด้วยมายาคติของเจตนาดี วัฒนธรรมอุปถัมภ์ ฯลฯ
กลับมาที่การกระทำของนายเอ็มถือว่าเป็นความผิดที่ต้องดำเนินการตามกฎหรือวินัยขององค์กร แต่เหนือสิ่งอื่นใด เราเองต่างต้องตระหนักถึงภัยคุกคามของการทุจริต หมั่นตรวจสอบตนเองว่าการกระทำบางอย่างของเราได้ขัดต่อผลประโยชน์กลุ่มใดกลุ่มหนึ่งหรือไม่ เราทุกคนในฐานะพลเมืองควรต้องแยกแยะและพึงหลีกเลี่ยงการทุจริตในรูปแบบต่างๆ
ดังนั้น “เจตนาดี” จึงไม่เท่ากับ “คนดีเสมอไป”ความเคยชินต่อการโกงในรูปแบบทุจริตสีขาว เป็นเพียงการขุดหลุมขนาดใหญ่ที่รอวันให้พวกเราได้ตกลงไปในหลุมลึก ยิ่งเราเพิกเฉยยิ่งทำให้หลุมมีขนาดใหญ่มากพอให้ทุกคนตกลงไปในหลุมนั้นอยู่ทุกเมื่อเชื่อวัน ไม่แน่ว่าในอนาคตเอง นายเอ็มอาจจะกลายเป็นผู้มีอำนาจการตัดสินใจได้กระทำการทุจริตคอร์รัปชันให้พวกพ้องด้วยเจตนาดี ในขณะที่เราหรือคนที่เรารักต้องเสียผลประโยชน์หรือโอกาสไปโดยที่เราไม่สามารถแก้ไขอะไรได้เลย
วรรณภณ หอมจันทร์ Hand Social Enterprise

ยกเว้น 'ค่าไฟ' เดือน พ.ย. 68 ในพื้นที่ จ.สงขลา บรรเทาความเดือดร้อนน้ำท่วม
เจนสุดาเดือด โพสต์ฟาดแรงถึงผู้ใหญ่ หยุดลากเด็ก ทำคอนเทนต์เรียกคะแนนสงสาร
สรุปดราม่า พนักงานไดกิ้น หยุดงานประท้วงเรียกร้องเงินโบนัส ทองคำ จากบริษัท
อนุสรณ์ จี้ อนุทิน ไม่ควรเอาเรื่องแก้ รธน. มาเป็นตัวประกัน
อนุสรณ์ จับโป๊ะ อนุทิน ปมภาพหลุด ร่วมเฟรม เบน สมิธ ให้ภาพเล่าเรื่อง ทำไมถึงปราบสแกมเมอร์ไม่ได้

เงื่อนไขการแสดงความคิดเห็น ซ่อน
โปรดอ่านก่อนแสดงความคิดเห็น
1.กรุณาใช้ถ้อยคำที่ สุภาพ เหมาะสม ไม่ใช้ ถ้อยคำหยาบคาย ดูหมิ่น ส่อเสียด ให้ร้ายผู้อื่น สร้างความแตกแยกในสังคม งดการใช้ถ้อยคำที่ดูหมิ่นหรือยุยงให้เกลียดชังสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์
2.หากพบข้อความที่ไม่เหมาะสม สามารถแจ้งได้ที่อีเมล์ online@naewna.com โดยทีมงานและผู้จัดทำเว็บไซด์ www.naewna.com ขอสงวนสิทธิ์ในการลบความคิดเห็นที่พิจารณาแล้วว่าไม่เหมาะสม โดยไม่ต้องชี้แจงเหตุผลใดๆ ทุกกรณี
3.ขอบเขตความรับผิดชอบของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ อยู่ที่เนื้อหาข่าวสารที่นำเสนอเท่านั้น หากมีข้อความหรือความคิดเห็นใดที่ขัดต่อข้อ 1 ถือว่าเป็นกระทำนอกเหนือเจตนาของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ และไม่เป็นเหตุอันต้องรับผิดทางกฎหมายในทุกกรณี