กรณีเด็กหญิงอายุเพียง 15 ปี จังหวัดนครราชสีมาได้ทำกระทงข้าวโพดกรอบขาย เพื่อหารายได้เสริม เป็นค่าเล่าเรียน ถูกล่อซื้อ เพื่อจับกุมในข้อหา ละเมิดลิขสิทธิ์ นับเป็นเรื่องที่น่าเวทนา และเห็นใจในสังคมขณะนี้เป็นอย่างยิ่ง
เธอได้โฆษณาขายกระทง ในเฟซบุ๊ค ซึ่งเป็นสินค้าตามเทศกาล เนื่องจากใกล้ถึงวันลอยกระทง ที่จะมีขึ้นอีกไม่กี่วัน และทำกระทงตามคำสั่งของลูกค้า
ได้มีลูกค้ารายหนึ่งติดต่อเข้ามา ทางเฟซบุ๊ค สั่งทำกระทงจำนวน 136 ชิ้น ให้ติดรูปการ์ตูนดัง เช่น คุมะ แมวการ์ฟิลด์ซึ่งล้วนเป็นการ์ตูนที่มีลิขสิทธิ์ และจ่ายค่ามัดจำเป็นเงินเพียง200 บาท
เมื่อเธอได้รับคำสั่งจากลูกค้า ได้รีบทำกระทงตั้งแต่เช้าเวลา 08.00 น. จนถึงเวลา 01.30 น. ของวันรุ่งขึ้น เพื่อส่งให้ทันตามคำสั่ง
เธอได้นำกระทงจำนวน 30 ชิ้น ไปส่งให้ลูกค้าที่ประตูชุมพล บริเวณอนุสาวรีย์ท้าวสุรนารี จากนั้นลูกค้าได้แสดงตัวเป็น ตัวแทนลิขสิทธิ์บริษัทการ์ตูน ที่ล่อซื้อจับกลุ่มและถูกส่งตัวไปที่สถานีตำรวจภูธรเมืองนครราชสีมา
ต่อมาได้มีชายอีกประมาณ 4-5 คน แสดงตัวว่าเป็นตัวแทนลิขสิทธิ์ เข้ามาเจรจา ข่มขู่ ให้รับสารภาพ ให้เด็กหญิงโทรหาแม่เพื่อเสียค่าปรับเป็นเงินจำนวน 50,000-400,000 บาทซึ่งแม่ของเด็กหญิง ไม่ได้มีเงินมากถึงขนาดนั้น
ในที่สุดได้เจรจา ตัวแทนลิขสิทธิ์ได้ลดค่าปรับเหลือเป็นเงินจำนวน 10,000 บาท แต่แม่ของเธอไม่สามารถจ่ายเงินให้ได้ เพราะจวนจะคลอดลูกอีกคนหนึ่งจึงต้องใช้เงิน
เธอจึงยินยอมที่จะให้ตัวแทนลิขสิทธิ์ดำเนินคดี และยอมติดคุก ในที่สุดตัวแทนลิขสิทธิ์จึงได้ยอมลดจำนวนเงินเหลือ 5,000 บาท แม่เธอได้หาทางกู้ยืมเงินมาชำระจนได้ เธอจึงรอดพ้นจากการถูกดำเนินคดี
ที่ผ่านมา กระทงที่เธอทำขาย เป็นรูปดอกไม้ แต่สำหรับลูกค้ารายนี้ ได้เจาะจงให้เธอทำเป็นรูปการ์ตูนลิขสิทธิ์ เธอจึงทำตามความประสงค์ของลูกค้า โดยไม่รู้ว่าเป็นการล่อซื้อ จนเป็นเหตุให้ถูกจับกุม
เมื่อเป็นข่าวในสื่อมวลชน และโซเชียลมีเดีย มีผู้แสดงความคิดเห็น อย่างมากมาย บริษัทซึ่งได้ลิขสิทธิ์ในการจำหน่ายสินค้าที่มีลิขสิทธิ์ดังกล่าว ได้แถลงว่า ไม่ได้มอบอำนาจให้ผู้ใดจับกุมสินค้าลิขสิทธิ์ในกรณีนี้ ต่อมาได้มีบริษัทอีกแห่งหนึ่ง อ้างว่าเป็นตัวแทนลิขสิทธิ์ในการปราบปราม เป็นผู้ดำเนินการ คนที่อ้างว่าเป็นตัวแทนลิขสิทธิ์ เป็นพนักงานของบริษัทจริง
ปัญหาเรื่องการมอบอำนาจ จากผู้มีลิขสิทธิ์จึงตกไปแต่ยังมีประเด็นอีกมากมาย ในเรื่องความถูกต้องในการดำเนินคดีตามกฎหมาย
กรณีเยาวชนถูกจับดำเนินคดี จะต้องดำเนินการตามพระราชบัญญัติศาลครอบครัวและเยาวชน และวิธีพิจารณาคดีเยาวชนและครอบครัว พ.ศ. 2553 ในกรณีสอบปากคำเยาวชนที่อายุไม่เกิน 18 ปี จะต้องเป็นการสอบสหวิชาชีพ ที่มีพนักงานสอบสวน อัยการ นักสังคมสงเคราะห์ นักจิตวิทยา ที่ปรึกษากฎหมายและบุคคลที่เยาวชนร้องขอ ร่วมอยู่ตอนสอบสวนด้วย
แต่ในกรณีที่เกิดเหตุนี้ ไม่ได้ดำเนินการดังกล่าวมีเพียงตัวแทนลิขสิทธิ์หลายคน รุมล้อมเจรจากับเด็กหญิงอายุเพียง 15 ปี วิธีการไม่ต่างกับ ปิดประตูตีแมว ทำให้เด็กหญิงไม่มีทางเลือก และอยู่ในภาวะ ตื่นตระหนกและตกใจกลัว เป็นอย่างมาก
ประเด็นสำคัญ ที่ต้องพิจารณา คือ การล่อซื้อ ซึ่งแท้ที่จริงเป็นการล่อ หรือหลอกล่อให้กระทำความผิด เพราะเป็นการสั่งโดยเฉพาะเจาะจง ให้เด็กหญิงทำกระทงที่ละเมิดลิขสิทธิ์รูปการ์ตูน
ดังนั้นเมื่อเด็กหญิงทำตามคำสั่งของตัวแทนลิขสิทธิ์ จะถือว่าเด็กหญิงละเมิดลิขสิทธิ์ได้อย่างไร
หากผู้ที่อ้างตัวเป็นตัวแทนลิขสิทธิ์ ไม่ได้รับมอบอำนาจมาโดยถูกต้องตามกฎหมาย ต้องถือว่า คนที่สั่งเด็กหญิงให้ทำกระทง เข้าจับกุมและเจรจา ล้วนละเมิดลิขสิทธิ์ และยังทำผิดกฎหมายอีกหลายข้อหา
นอกจากนี้ การที่เจรจาต่อรอง เพื่อเรียกร้องเงิน ไม่ว่าจะอ้างว่าเป็นค่าปรับหรือค่าเสียหายก็ตาม โดยมีที่มาไม่ถูกต้องตามกฎหมายตั้งแต่แรก ยังเป็นความผิดฐานกรรโชกทรัพย์ ที่ข่มขู่ ให้ผู้อื่นกระทำการอย่างใดอย่างหนึ่ง เพื่อที่ตนจะได้รับประโยชน์หรือทรัพย์ จากผู้ที่ถูกข่มขู่
ต่อมาตัวแทนลิขสิทธิ์ ได้ให้สัมภาษณ์ยืนยันว่า มีสิทธิ์และอำนาจดำเนินการตามกฎหมาย โดยที่ตัวเองไม่ได้รู้ตัวเลยว่า เป็นผู้กระทำความผิดกฎหมายเสียเองแล้ว
ตัวแทนลิขสิทธิ์ยังกล่าวหาอีกว่า เด็กหญิงได้โฆษณาในเฟซบุ๊ค ว่า รับทำกระทง และมีรูปโฆษณา เป็นภาพการ์ตูนลิขสิทธิ์ ซึ่งถือว่าได้ละเมิดลิขสิทธิ์แล้ว การที่ตัวแทนลิขสิทธิ์สั่งซื้อกระทงละเมิดลิขสิทธิ์ จึงเป็นเรื่องที่ถูกต้อง
หากพิจารณาในประเด็นนี้ ต้องแยกออก เป็นประเด็นย่อย 2 ประการ
ประการแรก การที่เด็กหญิงโฆษณาในเฟซบุ๊ค หากละเมิดลิขสิทธิ์จริง ตามที่ตัวแทน ลิขสิทธิ์กล่าวหา เหตุใดจึงไม่แจ้งความร้องทุกข์ ในประเด็นนี้เลย ทั้งที่สามารถดำเนินการตามกฎหมายได้แล้ว
ประการที่สอง แม้เด็กหญิงอาจผิด ละเมิดลิขสิทธิ์ตามประการแรก การล่อ หรือหลอกล่อให้กระทำความผิดเป็นเรื่องที่ไม่ถูกต้อง และไม่ถือว่าตัวแทนลิขสิทธิ์เป็นผู้เสียหายในกรณีนี้ จึงไม่สามารถดำเนินคดีได้ตามกฎหมาย
การล่อซื้อ หรือ ล่อให้กระทำความผิดในคดีลิขสิทธิ์ แตกต่างจากในกรณีอื่นๆ เช่น การล่อซื้อ ยาเสพติด ประเภทต่างๆ เพราะยาเสพติดถือว่าผิดกฎหมายในทุกกรณีแต่ในเรื่องละเมิดลิขสิทธิ์ เป็นเรื่องที่สามารถเจรจาตกลงประนีประนอมกันได้ ดังนั้น ตัวแทนลิขสิทธิ์ ล่อ หรือหลอกล่อให้กระทำความผิดโดยการละเมิดลิขสิทธิ์ จึงไม่ถือเป็นผู้เสียหาย ที่จะดำเนินคดีตามกฎหมายได้
ไม่ว่าตัวแทนลิขสิทธิ์จะอ้างเหตุผลใดก็ตาม การที่เด็กหญิงคนหนึ่ง หารายได้เพื่อเป็นค่าเล่าเรียน และจุนเจือครอบครัว ด้วยการทำกระทงขายตามเทศกาล สู้อดตาหลับขับตานอน เพื่อทำส่งให้ทันตามคำสั่งของลูกค้า ได้เงินเพียงเล็กน้อย อาจไม่กี่ 100 บาท แต่ถูกข่มขู่เรียกร้องเงินเป็นจำนวนมาก เป็นเรื่องที่สะเทือนใจ สังคมยอมรับไม่ได้
หลังจากเกิดกรณีเด็กหญิงนี้ ได้ปรากฏว่า มีกรณีอื่น คล้ายกัน เกิดขึ้นอีกกว่า 20 ราย
หากพิจารณาในแง่ดี ถือเป็นความดีของตัวแทนลิขสิทธิ์ในกรณีเด็กหญิงนี้ ที่ทำให้สังคมได้รับรู้ถึงเรื่องราวต่างๆ ที่เกิดขึ้น
จนเป็นเหตุให้ ผู้ใหญ่ของบ้านเมือง และหน่วยงานราชการ หันมาสนใจ และทำความตกลงร่วมกันว่า จะดำเนินการอย่างถูกต้อง
นับว่า การดำเนินคดีลิขสิทธิ์ ที่อาจไม่ถูกต้องตามกฎหมาย ยังมีความดีอยู่บ้าง
เงื่อนไขการแสดงความคิดเห็น ซ่อน
โปรดอ่านก่อนแสดงความคิดเห็น
1.กรุณาใช้ถ้อยคำที่ สุภาพ เหมาะสม ไม่ใช้ ถ้อยคำหยาบคาย ดูหมิ่น ส่อเสียด ให้ร้ายผู้อื่น สร้างความแตกแยกในสังคม งดการใช้ถ้อยคำที่ดูหมิ่นหรือยุยงให้เกลียดชังสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์
2.หากพบข้อความที่ไม่เหมาะสม สามารถแจ้งได้ที่อีเมล์ online@naewna.com โดยทีมงานและผู้จัดทำเว็บไซด์ www.naewna.com ขอสงวนสิทธิ์ในการลบความคิดเห็นที่พิจารณาแล้วว่าไม่เหมาะสม โดยไม่ต้องชี้แจงเหตุผลใดๆ ทุกกรณี
3.ขอบเขตความรับผิดชอบของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ อยู่ที่เนื้อหาข่าวสารที่นำเสนอเท่านั้น หากมีข้อความหรือความคิดเห็นใดที่ขัดต่อข้อ 1 ถือว่าเป็นกระทำนอกเหนือเจตนาของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ และไม่เป็นเหตุอันต้องรับผิดทางกฎหมายในทุกกรณี