nn เชื่อว่าย้อนหลังไปเมื่อ 20-30 ปีก่อน...คนไทยยังเชื่อว่าเราเป็นอู่ข้าวอู่น้ำของภูมิภาคและไปไกลจนถึงขึ้นเป็นครัวของโลก...แต่มาวันนี้เราคงต้องยอมรับความจริงแล้วว่าประเทศไทยกำลังเผชิญกับวิกฤติของทรัพยากรน้ำ...ช่วง4-5 เดือนจากนี้ เราจะเจอกับปัญหาขาดแคลนน้ำอย่างรุนแรง...โดยเฉพาะกับภาคการผลิตและภาคการเกษตร...เผลออาจจะเดือดร้อนไปถึงขั้นน้ำเพื่อการอุปโภคบริโภคด้วยซ้ำไป...
อย่างไรก็ตาม ถึงวันนี้เราจะมัวมานั่งโอดครวญไม่ได้แล้ว สิ่งที่ต้องทำคือว่า “แล้วเราจะอยู่กับมันอย่างไร”....แน่นอนว่าทุกคนต้องร่วมมือกัน และพร้อมใจกันลงมือปรับเปลี่ยนตัวเองและปฏิบัติอย่างจริงจังในการ...บริหารจัดการน้ำให้เกิดประโยชน์สูงสุด...
ภาคการผลิตขนาดใหญ่...อาจหลีกเลี่ยงไม่ได้ที่จะต้องถูกจับตามองว่าเป็นหนึ่งในผู้ที่ใช้ทรัพยากรน้ำในปริมาณมากว่าคนอื่นๆ....ดังนั้นจึงหลีกเลี่ยงไม่ได้เช่นกันว่าต้องพิสูจน์ให้สังคมเห็นว่าแม้จะใช้น้ำในปริมาณมาก แต่ก็ใช้น้ำอย่างมีประสิทธิภาพไม่ฟุ่มเฟือย...
ขณะนี้ก็มีภาคธุรกิจขนาดใหญ่พยายามจะแสดงให้สังคมเห็นแล้วว่าได้กระทำเช่นนั้น....ยกตัวอย่าง...บริษัท เจริญโภคภัณฑ์อาหาร จำกัด (มหาชน) หรือ ซีพีเอฟ....โดยนายประสิทธิ์ บุญดวงประเสริฐ ประธานคณะผู้บริหาร ซีพีเอฟ เปิดเผยว่า บริษัทตระหนักถึงความสำคัญของทรัพยากรน้ำซึ่งเป็นหัวใจหลักในการผลิตของภาคเกษตรและภาคอุตสาหกรรม มีการบริหารจัดการน้ำด้วยความรอบคอบให้เกิดประโยชน์และคุ้มค่ามากที่สุดตลอดกระบวนการตลอดห่วงโซ่การผลิต ตามแนวทาง Eco-Efficiency ซึ่งเป็นการสร้างสมดุลระหว่างการเติบโตของธุรกิจและการรักษาระบบนิเวศโดยการลดผลกระทบสิ่งแวดล้อมไปพร้อมๆ กัน สู่เป้าหมายการลดปริมาณการใช้น้ำจากธรรมชาติ
ซีพีเอฟ มีเป้าหมายลดปริมาณการดึงน้ำมาใช้ต่อหน่วยการผลิต 25% ในปี 2563 และ 30% ในปี 2568 ตามลำดับ และมีการจัดการน้ำอย่างยั่งยืน 3 แนวทาง คือ 1.การประเมินความเสี่ยงการขาดแคลนน้ำเป็นประจำทุกปี ตามหลักการของAqueduct ซึ่งเป็นหน่วยงานประเมินความเสี่ยงสากลด้านน้ำ 2.การนำน้ำกลับมาใช้ใหม่ และ 3.การกระจายน้ำที่บำบัดแล้วจากฟาร์มปศุสัตว์และโรงงานแปรรูปอาหาร ให้กับชุมชนและเกษตรกรรอบโรงงานเพื่อบรรเทาผลกระทบจากการขาดแคลนน้ำ
ทั้งนี้ ข้อมูลจากการจัดทำแผนบริหารความเสี่ยงด้านน้ำของบริษัทและคู่ค้าธุรกิจ จะช่วยลดผลกระทบที่อาจจะเกิดขึ้นกับชุมชนโดยรอบในสภาวะแล้ง ขณะที่การนำน้ำที่บำบัดแล้วกลับมาใช้ใหม่จะช่วยให้เกิดการใช้ทรัพยากรอย่างคุ้มค่า โดยในปี 2561 บริษัท มีน้ำที่ผ่านการบำบัดและนำกลับมาใช้ใหม่จำนวน 28 ล้านลูกบาศก์เมตร คิดเป็น18% ของปริมาณการดึงน้ำมาใช้ทั้งหมด ทั้งยังส่งผลให้การดึงน้ำมาใช้ต่อหน่วยการผลิตของบริษัทลดลง 32% เมื่อเทียบกับปีฐาน 2558
ในปี 2561 ฟาร์มกุ้งของ ซีพีเอฟ ลดการใช้น้ำได้ 23 ล้านลูกบาศก์เมตร จากการพัฒนาและปรับปรุงวิธีการเลี้ยงอย่างเหมาะสมและนำเทคโนโลยีรีไซเคิล (Recycle) เพื่อนำน้ำจากกระบวนการเลี้ยงไปหมุนเวียนใช้ในฟาร์ม โดยไม่มีการปล่อยน้ำจากฟาร์มสู่สิ่งแวดล้อม (Zero Discharge) ทำให้ลดการนำน้ำจากภายนอกมาใช้ 70-75 % เมื่อเทียบกับการเลี้ยงกุ้งแบบเดิม ตลอดจนการนำเทคโนโลยีไบโอฟลอค (Biofloc Technology) มาช่วยจัดการของเสียในบ่อเลี้ยงกุ้ง ลดการเปลี่ยนถ่ายน้ำระหว่างการเลี้ยง ส่งผลให้การใช้น้ำลดเหลือเพียง 1.5 ลูกบาศก์เมตรต่อกุ้ง 1 กิโลกรัม เปรียบเทียบกับการเลี้ยงกุ้งโดยทั่วไปที่น้ำหนักเท่ากันต้องใช้น้ำ 5 ลูกบาศก์เมตร
สำหรับฟาร์มสุกรและฟาร์มไก่เนื้อมีการใช้น้ำอย่างประหยัดด้วยการปฏิบัติตามมาตรฐานการกินและใช้น้ำต่อตัวสัตว์ ตลอดจน ตรวจสอบอุปกรณ์ส่งน้ำในฟาร์มให้อยู่ในสภาพสมบูรณ์ เป็นต้น โดยในปี 2561 สามารถส่งน้ำที่บำบัดแล้วช่วยเหลือเกษตรกรรอบฟาร์มและโรงงานเพื่อใช้ในการเพาะปลูกจำนวน 380,000 ลูกบาศก์เมตร
ครอบคลุมพื้นที่การเกษตร 3,650 ไร่ โดยน้ำที่ใช้จากการเลี้ยงสุกรเมื่อนำเข้าสู่กระบวนการหมักในระบบไบโอแก๊ส ได้แก๊สมีเทนไปใช้เป็นพลังงานทดแทนในฟาร์ม ส่วนน้ำที่ได้หลังจากการบำบัดมีธาตุอาหารที่พืชต้องการ คือ ไนไตรเจนฟอสฟอรัส และโพแตสเซียม เป็นน้ำปุ๋ยส่งให้เกษตรกรสวนผลไม้ ไร่อ้อย มันสำปะหลัง นอกจากช่วยลดปริมาณการใช้น้ำของเกษตรกรแล้ว ยังช่วยเพิ่มผลผลิตและลดต้นทุนค่าปุ๋ยด้วย
นี่เป็นหนึ่งในตัวอย่างจากภาคธุรกิจที่พยายามจะบริหารจัดการเรื่องการใช้น้ำ ซึ่งเชื่อว่ามีอีกหลายกลุ่มธุรกิจขนาดใหญ่ของไทยที่เป็นผู้ใช้น้ำรายใหญ่ ร่วมกันดำเนินการในแนวทางนี้ก็จะมีส่วนช่วยสังคมได้ไม่น้อยเลยทีเดียว...แต่ใช่ว่าทุกคนจะทำอย่างนี้ได้ หน้าที่ของภาครัฐคือต้องยื่นมือเข้าไปจูงมือพวกเขามาให้เดินในแนวทางนี้จะด้วยมาตรการบังคับ หรือมาตรการจูงใจ อย่างไรก็ต้องรีบดำเนินการ
กระบองเพชร
เงื่อนไขการแสดงความคิดเห็น ซ่อน
โปรดอ่านก่อนแสดงความคิดเห็น
1.กรุณาใช้ถ้อยคำที่ สุภาพ เหมาะสม ไม่ใช้ ถ้อยคำหยาบคาย ดูหมิ่น ส่อเสียด ให้ร้ายผู้อื่น สร้างความแตกแยกในสังคม งดการใช้ถ้อยคำที่ดูหมิ่นหรือยุยงให้เกลียดชังสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์
2.หากพบข้อความที่ไม่เหมาะสม สามารถแจ้งได้ที่อีเมล์ online@naewna.com โดยทีมงานและผู้จัดทำเว็บไซด์ www.naewna.com ขอสงวนสิทธิ์ในการลบความคิดเห็นที่พิจารณาแล้วว่าไม่เหมาะสม โดยไม่ต้องชี้แจงเหตุผลใดๆ ทุกกรณี
3.ขอบเขตความรับผิดชอบของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ อยู่ที่เนื้อหาข่าวสารที่นำเสนอเท่านั้น หากมีข้อความหรือความคิดเห็นใดที่ขัดต่อข้อ 1 ถือว่าเป็นกระทำนอกเหนือเจตนาของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ และไม่เป็นเหตุอันต้องรับผิดทางกฎหมายในทุกกรณี