ในช่วงโควิดต้องบอกเลยครับว่า คนที่จะได้รับผลกระทบหนักที่สุดจากการขาดหายไปของรายได้ ไม่ว่าจะทั้งหมดหรือบางส่วน ก็คือ คนที่มีภาระหนี้อยู่ในอัตราที่สูง หรือมีอัตราเงินผ่อนชำระหนี้ต่อรายได้ เกินกว่า50% (พูดให้ง่าย หาเงินได้เดือนละ 100 บาท ต้องเอาไปผ่อนหรือใช้หนี้เกิน 50 บาทนั่นเอง)
เพราะว่าในวันที่มีรายได้ ต่อให้เป็นหนี้ เราก็ยังพอมีเงินมาชำระหนี้ได้ แต่เมื่อรายได้หายไป เราจ่ายหนี้ได้ไม่พอ คราวนี้เลยหนัก เพราะหนี้จะยิ่งกดทับปัญหาเรา
อย่างไรก็ดี ปัญหาหนี้ทุกปัญหามีทางออกเสมอครับ และวันนี้ผมมีคำแนะนำเบื้องต้นสำหรับผู้ที่กำลังประสบปัญหาสภาพคล่อง จากภาระหนี้ที่สูง โดยแบ่งออกเป็น 2 กลุ่ม คือ
1. มีหนี้เยอะ แต่ยังไม่มีการผิดนัดชำระหรือผิดนัดชำระบ้างแต่ยังไม่เป็นหนี้เสีย
สำหรับกลุ่มแรกนี้ ผมแนะนำให้ลองเจรจากับทางสถาบันการเงินที่เป็นเจ้าหนี้โดยตรง โดยเลือกแจ้งข้อเท็จจริงกับทางเจ้าหนี้ และเปิดฉากเจรจา ไล่เลียงไปเป็นขั้นตอนจากปัญหาสภาพคล่องของเรา ถ้าปัญหาหนักอาจเจรจาถึงขั้นขอหยุดพักชำระทั้งต้นและดอกเบี้ย แต่ถ้าพอไปได้ไม่เหนื่อยมาก ก็อาจปรับจากผ่อนสั้นเป็นผ่อนยาว เพื่อให้หายใจหายคอได้ดีขึ้น
ระดับขั้นของการเจรจาที่เราควรพิจารณาเสนอขอกับทางธนาคารเป็นดังนี้
ขอหยุดพักชำระค่างวดทั้งจำนวน (พักทั้งต้นและดอกเบี้ย) ขอจ่ายคืนเฉพาะดอกเบี้ย หรือขอลดค่างวดขอลดดอกเบี้ยชั่วระยะเวลาหนึ่งขอยืดระยะเวลาการชำระหนี้ จากระยะสั้นเป็นยาว (เพิ่มงวด) เพื่อให้ผ่อนน้อยลง
ทั้งนี้หัวใจของการเจรจาไม่ใช่แค่ผ่อนน้อยลงอย่างละนิดละหน่อย แต่มันคือภาพรวมที่ทำให้เรามีกระแสเงินสดเหลือใช้ หรือเหลือเก็บไว้เผื่อขาดวันข้างหน้าด้วย
สำหรับใครที่มีหนี้หลายรายการ และอยากติดต่อสื่อสารกับเจ้าหนี้ผ่านช่องทางเดียว อาจใช้ช่องทาง “ทางด่วนแก้หนี้” (ลองพิมพ์คำนี้ใน Google ดู) ซึ่งเป็นหน่วยงานภายใต้การกำกับของธนาคารแห่งประเทศไทยในการประสานการเจรจาระหว่างเจ้าหนี้กับเจ้าหนี้ (หลายคนพ้นปัญหาเพราะช่องทางนี้เลยครับ)
2. มีหนี้เยอะ และมีการผิดนัดชำระ เกิน 3 เดือน จนกลายเป็นหนี้เสีย (NPL) ไปแล้ว
กรณีที่คุณมีหนี้เสียไปแล้ว แน่นอนว่าทางแก้ปัญหาที่ดี ก็ยังคงเป็นการเจรจาอยู่ดี เราสามารถเข้าไปสื่อสารปัญหา และหาทางออกร่วมกับเจ้าหนี้ได้
หรือหากคุณเป็นหนี้เสียประเภทไม่มีหลักทรัพย์ค้ำประกัน อาทิ หนี้บัตรเครดิต หนี้บัตรกดเงินสด และหนี้สินเชื่อบุคคล และมีมูลหนี้รวมกันไม่เกิน 2 ล้านบาท คุณสามารถติดต่อขอรับความช่วยเหลือจาก “โครงการคลินิกแก้หนี้ by SAM” ซึ่งก็เป็นหน่วยงานในการกำกับของธนาคารแห่งประเทศไทยเช่นกัน
ผมเองได้เข้าไปช่วยประชาสัมพันธ์กับทางคลินิกแก้หนี้ ได้ยินข้อมูลมาว่า หนี้เสียถึงขั้นบังคับคดี ก็สามารถเข้าร่วมโครงการแก้หนี้ได้ และมูลหนี้ 100,000 บาท เมื่อเข้าโครงการสามารถลดภาระผ่อนได้เหลือ 1,200 บาท ซึ่งช่วยเรื่องสภาพคล่องให้กับลูกหนี้ได้มากเลยทีเดียว
และล่าสุดทางโครงการคลินิกแก้หนี้ by SAM มีการปรับเงื่อนไขว่า ให้ผู้ที่เป็นหนี้เสียก่อน 1 กรกฎาคม 2563 สามารถเข้าร่วมโครงการได้แล้ว ก็ถือได้ว่าเปิดโอกาสให้คนติดปัญหาหนี้เสียในช่วงโควิดเข้าโครงการได้มากขึ้นด้วย
สำหรับคนที่กำลังประสบปัญหาหนี้ และหาทางออกไม่ได้ ผมคิดว่าทั้งสองกลุ่มนี้เป็นทางเลือกที่ดี และจะช่วยเหลือคนที่มีปัญหาได้เป็นอย่างดี แต่การแก้หนี้นั้น พูดกันตรงๆ จะอาศัยแต่ความช่วยเหลือจากคนอื่นเพียงอย่างเดียวคงไม่ได้ เพราะสุดท้ายสิ่งที่สำคัญที่สุด ก็หนีไม่พ้นวินัยของลูกหนี้เอง ที่จะต้องอดทน และค่อยๆ เรียนรู้ที่จะแก้ปัญหา ออกจากบ่วงปัญหาด้วยตัวเองทีละน้อย
ยังไงก็ขอเป็นกำลังใจให้กับทุกคนนะครับ
เงื่อนไขการแสดงความคิดเห็น ซ่อน
โปรดอ่านก่อนแสดงความคิดเห็น
1.กรุณาใช้ถ้อยคำที่ สุภาพ เหมาะสม ไม่ใช้ ถ้อยคำหยาบคาย ดูหมิ่น ส่อเสียด ให้ร้ายผู้อื่น สร้างความแตกแยกในสังคม งดการใช้ถ้อยคำที่ดูหมิ่นหรือยุยงให้เกลียดชังสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์
2.หากพบข้อความที่ไม่เหมาะสม สามารถแจ้งได้ที่อีเมล์ online@naewna.com โดยทีมงานและผู้จัดทำเว็บไซด์ www.naewna.com ขอสงวนสิทธิ์ในการลบความคิดเห็นที่พิจารณาแล้วว่าไม่เหมาะสม โดยไม่ต้องชี้แจงเหตุผลใดๆ ทุกกรณี
3.ขอบเขตความรับผิดชอบของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ อยู่ที่เนื้อหาข่าวสารที่นำเสนอเท่านั้น หากมีข้อความหรือความคิดเห็นใดที่ขัดต่อข้อ 1 ถือว่าเป็นกระทำนอกเหนือเจตนาของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ และไม่เป็นเหตุอันต้องรับผิดทางกฎหมายในทุกกรณี