nn คอลัมน์ “หมุนตามทุน” ครั้งก่อนได้เขียนถึงโครงการติดตั้งระบบตรวจสอบติดตามและแกะรอย(Track & Trace) แสตมป์ยาสูบ มูลค่า 3.3 พันล้านบาท ของกรมสรรพสามิต ซึ่งได้มีการตั้งข้อสังเกตไว้ 2-3 ข้อ และทางอธิบดีกรมสรรพสามิตได้ให้ข้อมูลชี้แจงมา “หมุนตามทุน” จึงได้นำข้อชี้แจงของกรมสรรพสามิตมานำเสนอให้เพื่อความเป็นธรรมและให้สังคมได้พิจารณา
ประเด็นที่ 1 กรมสรรพสามิตได้ชี้แจงว่าโครงการดังกล่าว นำมาใช้กับผู้เสียภาษีทั้งผู้ผลิตในประเทศและต่างประเทศ โดยอธิบ่ายเพิ่มเติมว่าปัจจุบันกรมสรรพสามิตจัดเก็บภาษีสรรพสามิตยาสูบชนิดบุหรี่ซิกาแรต โดยใช้วิธีการปิดแสตมป์บนซองเพื่อแสดงได้เสียภาษีแล้ว โดยผู้ผลิตจะต้องชำระภาษีสรรพสามิตก่อน แล้วมาขอรับแสตมป์ตามจำนวนที่ได้เสียภาษีแล้วนำไปติดบนซองด้วยเครื่องจักรที่โรงงานผลิต สำหรับกรณีของผู้นำเข้าเมื่อชำระภาษีแล้วก็จะนำแสตมป์ไปปิดที่โรงงานผลิตในต่างประเทศ จากนั้นจึงนำบุหรี่เข้ามาจำหน่ายในประเทศ ซึ่งที่ผ่านมาเจ้าหน้าที่ได้ทำการตรวจสอบโดยการซุ่มตรวจเท่านั้น ดั้งนั้นหากว่าใช้ระบบ Track & Trace ที่มีรหัส QR ที่ไม่ซ้ำกันที่อยู่บนดวงแสตมป์ จะช่วยอำนวยความสะดวกให้เจ้าหน้าที่ และขั้นตอนและเวลาทำงาน อีกทั้งเป็นการเพิ่มประสิทธิภาพระบบตรวจสอบและป้องกันการนำเข้าบุหรี่ที่ไม่เสียภาษีได้อีกทางหนึ่ง ทั้งนี้กระบวนการดังกล่าวเป็นวิธีปฏิบัติเช่นเดียวกันกับบุหรี่ทีผลิตในประเทศ จึงไม่ถือว่าเป็นการเลือกปฏิบัติหรือสร้างภาระให้กับผู้นำเข้าแต่เพียงผู้เดียว
สำหรับในประเด็นนี้ “หมุนตามทุน” ก็ยังมีข้อสงสัยว่า...ผู้ผลิตในประเทศสามารถปิดแสตมป์และ activate แสตมป์ในสายการผลิตปัจจุบัน จากนั้นก็ทำการผลิตและบรรจุสินค้าได้ตามปกติแต่ผู้นำเข้าต้องย้ายขั้นตอนการปิดแสตมป์ในกระบวนการผลิตจากต่างประเทศมาทำในประเทศเท่านั้นแล้วยังเพิ่มขั้นตอนการ activate แสตมป์เข้าไป ทำให้ผู้นำเข้าจะต้องมาตั้งโรงงานที่ประเทศไทยเพื่อ unpack สินค้าทั้งหมดเมื่อนำเข้าแล้ว จากนั้นต้องปิดแสตมป์ activate แสตมป์ แล้วrepack กลับให้เหมือนเดิมโดยไม่ให้เกิดความเสียหายหรือกระทบต่อคุณภาพและต้นทุนของสินค้า เหล่านี้ล้วนเป็นขั้นตอนที่จะเกิดเฉพาะกับผู้นำเข้าเท่านั้น และยังเป็นการบังคับให้ผู้นำเข้าต้องมีโรงงาน 2 ที่ทั้งในต่างประเทศและในประเทศทำให้ผู้นำเข้าต้องลงทุนซื้อเครื่องจักร จ่ายค่าประกันสินค้าและค่าใช้จ่ายอื่นๆ ในการจัดการโรงงานในไทยนี้เอง โดยภาระเหล่านี้จะไม่เกิดขึ้นกับผู้ผลิตในประเทศเพราะไม่ต้องลงทุนเพิ่มใดๆ ทั้งสิ้น
ประเด็นที่ 2 กรมสรรพสามิตได้ชี้แจงว่าประเทศไทยในฐานะภาคีสมาชิกในกรอบอนุสัญญาว่าด้วยการควบคุมยาสูบขององค์การอนามัยโลก (WHO Framework Convention on Tobacco Control : FCTC) มีความจำเป็นในการพัฒนาระบบแสตมป์ให้สอดคล้องกับกรอบอนุสัญญาเพื่อเตรียมความพร้อมตามข้อบังคับในมาตรา 15 ซึ่งได้แก่การค้าที่ผิดกฎหมายในผลิตภัณฑ์ยาสูบ (Illicit tradein tobacco products) ซึ่งระบบ Track & Trace เป็นระบบที่ใช้ได้ผลในหลายประเทศ ทำให้การจัดเก็บรายได้สูงขึ้นและลดการค้าที่ผิดกฎหมายลงได้ จึงเป็นระบบที่เหมาะสมและคุ้มค่าที่จะดำเนินการ
สำหรับประเด็นนี้ “หมุนตามทุน” ก็ยังสงสัยอยู่....เพราะมาตรา 15 ของกรอบอนุสัญญาฯ มิได้บังคับให้ต้องใช้แสตมป์ เพื่อสร้างระบบตรวจสอบติดตามและแกะรอยแสตมป์ยาสูบ มาตรา 15 เพียงแค่ระบุกว้างๆ ให้สมาชิกต้องมีระบบตรวจสอบติดตามและแกะรอย “ผลิตภัณฑ์ยาสูบ” โดยไม่ได้บังคับว่าจะต้องให้ใช้แสตมป์ หรือให้ปิดแสตมป์เฉพาะในประเทศนำเข้าเท่านั้น หรือต้อง activate แสตมป์ในประเทศนำเข้าเท่านั้น ทั้งนี้ ไม่มีประเทศอื่นใดที่ใช้ระบบตรวจสอบติดตามและแกะรอยผลิตภัณฑ์ยาสูบได้อย่างสมบูรณ์หากใช้แสตมป์เป็นเครื่องมือ ในประเทศที่พัฒนาแล้วส่วนใหญ่ (ซึ่งรวมถึง 27 ประเทศ EU) ก็ไม่ได้ใช้ระบบที่กรมสรรพสามิตเสนออยู่เพราะเป็นที่รู้กันทั่วไปในระดับสากลว่า การใช้แสตมป์มีข้อจำกัดมากมายนอกจากนี้ ยังไม่มีประเทศใดบังคับให้ผู้นำเข้าต้องปิดแสตมป์ และ activate แสตมป์ในประเทศที่นำเข้าเท่านั้น ดังนั้นระบบนี้จึงยังไม่เคยมีการดำเนินการที่ใดในโลกมาก่อน และการสร้างภาระให้ผู้นำเข้าเป็นอุปสรรคต่อการค้าระหว่างประเทศ ซึ่งอาจผิดความตกลงการค้าภายใต้องค์การการค้าโลกในเรื่องอุปสรรคเทคนิคทางการค้า ขณะเดียวกันระบบของกรมสรรพสามิตก็ไม่สามารถปฏิบัติตามข้อกำหนดของกรอบอนุสัญญาว่าด้วยการควบคุมผลิตภัณฑ์ยาสูบขององค์การอนามัยโลกได้อย่างครบถ้วน จึงกลายเป็นว่าระบบที่ลงทุนกว่า 3 พันล้าน ไม่สามารถปฏิบัติตามข้อกำหนดฯ ได้ครบถ้วน เช่น จะไม่สามารถสร้างรหัสเฉพาะสำหรับบุหรี่แต่ละซองที่บ่งชี้ถึงวันและสถานที่ผลิตบุหรี่ให้ปรากฏบนแสตมป์ได้ เพราะข้อมูลวันและสถานที่ผลิตบุหรี่ไม่สามารถล่วงรู้ได้ตั้งแต่ตอนผลิตแสตมป์ที่มีรหัสปรากฏอยู่ จะรู้เฉพาะเมื่อโรงงานบุหรี่กำลังจะผลิตบุหรี่เท่านั้น เป็นต้น
กระบองเพชร
เงื่อนไขการแสดงความคิดเห็น ซ่อน
โปรดอ่านก่อนแสดงความคิดเห็น
1.กรุณาใช้ถ้อยคำที่ สุภาพ เหมาะสม ไม่ใช้ ถ้อยคำหยาบคาย ดูหมิ่น ส่อเสียด ให้ร้ายผู้อื่น สร้างความแตกแยกในสังคม งดการใช้ถ้อยคำที่ดูหมิ่นหรือยุยงให้เกลียดชังสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์
2.หากพบข้อความที่ไม่เหมาะสม สามารถแจ้งได้ที่อีเมล์ online@naewna.com โดยทีมงานและผู้จัดทำเว็บไซด์ www.naewna.com ขอสงวนสิทธิ์ในการลบความคิดเห็นที่พิจารณาแล้วว่าไม่เหมาะสม โดยไม่ต้องชี้แจงเหตุผลใดๆ ทุกกรณี
3.ขอบเขตความรับผิดชอบของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ อยู่ที่เนื้อหาข่าวสารที่นำเสนอเท่านั้น หากมีข้อความหรือความคิดเห็นใดที่ขัดต่อข้อ 1 ถือว่าเป็นกระทำนอกเหนือเจตนาของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ และไม่เป็นเหตุอันต้องรับผิดทางกฎหมายในทุกกรณี