เมื่อเดือน กันยายน 2563 องค์การอนามัยโลก World Health Organization (WHO) ได้ผลิตคลิปสารคดี 2 ภาษา “ไทย-อังกฤษ” ชื่นชมระบบสาธารณสุขของไทยในการควบคุมโรคไวรัสโควิด -19
ในเดือนพฤศจิกายน 2563 องค์การอนามัยโลก ได้ทวีตชื่นชมไทยต่อการรับมือสถานการณ์การระบาดโควิด-19
นพ.ทีโดรส อัดฮานอม กีบรีเยซุส ผอ.องค์การอนามัยโลกได้กล่าวชื่นชมพล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรีในขณะนั้นที่ให้การสนับสนุนการทำงานของ WHO ยกให้ไทยเป็นประเทศตัวอย่าง ที่ทั้งภาครัฐและภาคประชาชนร่วมมือกันควบคุมการแพร่ระบาดของโควิด-19 สามารถควบคุมได้ แม้ยังไม่มีวัคซีน สถิติผู้ติดเชื้อในไทยได้พิสูจน์ว่า ไทยเป็นประเทศแรกที่มีผู้ติดเชื้อ นอกประเทศจีน แต่มีกรณีผู้ติดเชื้อเพียงสี่พันคนและผู้เสียชีวิตหกสิบคนเท่านั้น ทั้งๆ ที่ไทยมีประชากรถึง70 ล้านคน และมีเมืองที่มีผู้คนหนาแน่นอันดับต้นๆ ของโลกสิ่งที่ไทยทำสำเร็จ ไม่ใช่เรื่องบังเอิญ แต่เกิดจากการวางรากฐานของระบบสาธารณสุข มีอาสาสมัครสาธารณสุขประจำหมู่บ้าน (อสม.) กว่าหนึ่งล้านคน มีบทบาทสำคัญอย่างยิ่งยวดในการควบคุมการระบาดของโควิด-19 ทั้งยังขอให้ทุกประเทศทั่วโลก ทำตามสิ่งที่ไทยทำ
การจัดอันดับดัชนีที่แสดงถึงการฟื้นตัวของแต่ละประเทศจากสถานการณ์ของโรคไวรัสโควิด-19 (Global COVID-19Index (GCI) นั้น ไทยได้รับการจัดอันดับหนึ่งในโลกในด้านการฟื้นตัวจากการระบาดของโควิด-19 ไทยได้รับการประเมินให้ได้คะแนนดีที่สุดในมิติด้านการฟื้นตัว (Global Recovery Index) และมิติด้านความรุนแรงของการระบาด (Global Severity Index) นอกจากนี้ มหาวิทยาลัยจอห์นส์ ฮอปกินส์ของสหรัฐ ซึ่งรายงานดัชนีความมั่นคงด้านสุขภาพ (2019 Global Health Security Index) ที่มีการจัดอันดับประเทศทั้งหมดรวม 195 ประเทศในช่วงปลายปีพ.ศ. 2562 พบว่าไทยอยู่ในอันดับที่ 6 ของโลก และอันดับ 1 ของภูมิภาคเอเชีย พร้อมยกย่องว่า ไทยเป็น 1 ใน 13 ประเทศที่มีความพร้อมในการรับมือกับโรคระบาดได้มากที่สุด
ถือเป็นเรื่องที่น่าภูมิใจของคนไทย ที่น่าเศร้า คือ ดีใจไม่ยังทันข้ามปี เพราะช่วงกลางเดือนธันวาคม 2563 กระทรวงสาธารณสุขรายงานว่า พบผู้ติดเชื้อไวรัสโควิด-19ในจังหวัดสมุทรสาคร เกือบ 700 ราย ส่วนมากเป็นแรงงานชาวเมียนมาที่ทำงานในอุตสาหกรรมประมง ที่ซ้ำร้าย คือ ผู้ติดเชื้อจากสมุทรสาครกระจายอยู่ในพื้นที่อย่างน้อย3 จังหวัด ได้แก่ กรุงเทพฯ สมุทรปราการ และนครปฐม นับว่าเป็นการพบผู้ติดเชื้อมากที่สุดนับตั้งแต่มีการระบาดในไทย จนทำให้ผู้ว่าราชการจังหวัดสมุทรสาคร ต้องสั่งปิดตลาดกลางกุ้ง หลังพบเจ้าของแพกุ้งวัย 67 ปี ติดเชื้อโควิด-19 แม้กระทั่งท่านผู้ว่าราชการจังหวัดและภริยายังติดโควิด-19 ด้วย
การลักลอบขนแรงงานเถื่อน จึงถูกยกมาเป็นประเด็นว่า อาจเป็นสาเหตุทำให้เกิดการแพร่ระบาดของไวรัสโควิดในรอบนี้มีการเชื่อมโยงกับตลาดกลางกุ้ง ก่อนที่จะแพร่กระจายในพื้นที่หลายจังหวัดคงต้องติดตามว่า รัฐบาลเอาผิดกับผู้อยู่เบื้องหลังขบวนการนำแรงงานเถื่อนได้หรือไม่? เพียงใด?ที่ผ่านมาการลักลอบขนแรงงานเถื่อนเข้ามาอย่างต่อเนื่อง ตามแนวชายแดนทางน้ำ ไทยมีแนวเขตทางบก 5,656 กิโลเมตร มีจังหวัดติดต่อกับประเทศเพื่อนบ้าน 32 จังหวัด 128 อำเภอ ถ้าเป็นคนธรรมดาแอบลักลอบเข้ามาคงทำได้เพียงไม่กี่คน แต่การลักลอบแต่ละทีมีนับสิบนับร้อยคน
เหตุที่ทำให้เกิดการแพร่ระบาด ยังมีสาเหตุมาจากการปล่อยปละละเลย หรือสมรู้ร่วมคิดของเจ้าหน้าที่ให้มีบ่อนการพนันผิดกฎหมาย สนามชนไก่ ไม่ว่าจะเป็นจังหวัดตราด ชลบุรี ระยอง สิงห์บุรี พระนครศรีอยุธยา ลพบุรี สุพรรณบุรี แม้กระทั่งกรุงเทพฯ ถ้าย้อนไปในอดีตตอนที่นายกรัฐมนตรีรับตำแหน่งใหม่ๆ ท่านเคยกล่าวว่า จะจัดการเรื่องบ่อนอย่างจริงจัง มีการเรียกบุคคลที่เกี่ยวข้องกับบ่อน มาปรับทัศนคติ แต่ปัจจุบันกลับมีบ่อนเกิดขึ้นมากมาย บางแห่งห่างไม่เกิน 3 กิโลเมตร จากสถานีตำรวจ
กลุ่มแรงงานต่างด้าวและบ่อน ทำให้เชื้อแพร่กระจายไปตามที่ต่างๆ ไม่ต่างจากไฟลามทุ่ง ส่งผลให้พบผู้ติดเชื้อมากกว่า 50 จังหวัดอย่างรวดเร็ว เพียงไม่กี่วันจากวันขึ้นปีใหม่ พ.ศ.2564 จนที่ประชุมศูนย์บริหารสถานการณ์โควิด-19 (ศบค.) มีมติยกระดับให้พื้นที่ 5 จังหวัด ได้แก่ สมุทรสาคร ชลบุรี ระยอง จันทบุรี และตราด เป็นพื้นที่ควบคุมสูงสุดและเข้มงวด พื้นที่ 5 จังหวัดนี้จะถูกแทนที่ด้วยสีแดงเลือดหมู ศบค.ย้ำว่า “ไม่ใช่ล็อกดาวน์ แต่เป็นการทำให้เกิดความเข้มงวดขึ้นมา” เงื่อนไขการเปิดดำเนินการในพื้นที่ควบคุมสูงสุดจะต่างกันตามพื้นที่ ให้ผู้ว่าราชการจังหวัดพิจารณามาตรการให้เหมาะกับพื้นที่
ผู้เดินทางเข้า-ออก 5 จังหวัดนี้ ต้องแสดงบัตรประจำตัวประชาชนหรือบัตรแสดงตนอื่นๆ ควบคู่กับเอกสารรับรองความจำเป็นที่ออกโดยพนักงานเจ้าหน้าที่ที่เกี่ยวข้อง หรือฝ่ายปกครองที่ เช่น กำนัน ผู้ใหญ่บ้าน นายก อบต.
แม้ไม่ใช่การล็อกดาวน์ การควบคุมเช่นนี้เป็นการล็อกดาวน์โดยนัย การขอรับเอกสารรับรอง ด้วยตนเองกับทางราชการ อาจทำให้เกิดการแพร่เชื้อ เพราะทำให้เกิดความแออัดต้องต่อคิว การขอรับรองผ่านแอพฯ น่าจะมี
ส่วนช่วยให้ไม่แออัด และไม่ทำให้เกิดการแพร่ระบาดได้ แต่ไม่ได้ทำ
ภาครัฐบาลสร้างความสับสนให้กับประชาชนจำนวนไม่น้อย เมื่อมีประกาศยกระดับการบังคับใช้มาตรการป้องกันโรคไวรัสโควิด-19 ว่า ต้องมีแอพฯ “หมอชนะ” ควบคู่ “ไทยชนะ” หากพบว่า ใครป่วยเป็นผู้ติดเชื้อไวรัสโควิด-19 แล้วไม่มีแอพฯ “หมอชนะ” ในโทรศัพท์มือถือ ถือว่าละเมิดข้อกำหนด พ.ร.ก.ฉุกเฉินฯ จำคุกไม่เกิน 2 ปี หรือปรับไม่เกิน4 หมื่นบาท หรือทั้งจำทั้งปรับ ต่อมา นายกรัฐมนตรี และนพ.ทวีศิลป์ วิษณุโยธิน โฆษกศบค. กลับลำบอกว่า มีความเข้าใจคลาดเคลื่อน เจตนาที่แท้จริงเป็นเพียงการขอความร่วมมือให้ประชาชนในพื้นที่ใช้แอพฯ เพื่อคุมระบาดไม่โหลดไม่ผิด ทั้งที่ประกาศดังกล่าว ได้ลงไว้ในราชกิจจานุเบกษาและมีกำหนดโทษแล้วก็ตาม
ทั้งกรณีนายอนุทิน ชาญวีรกูล รองนายกรัฐมนตรีและรมว.สาธารณสุข ได้โพสต์ผ่านเพจอนุทินฯ ประเด็นค่าใช้จ่ายในการรักษาผู้ป่วยโควิด-19 ที่ลักลอบเข้าประเทศหรือทำผิดกฎหมาย ที่ต้องรับผิดชอบค่าใช้จ่ายเอง บุคคลที่เกี่ยวข้องต้องทำความเข้าใจให้ดีว่า “ไม่ใช่การปฏิเสธการรักษา” แต่เป็นการรักษาไปก่อน ส่วนจะเรียกเก็บค่ารักษาได้หรือไม่ เป็นอีกประเด็นหนึ่ง มิฉะนั้นคนที่ติดเชื้อจะไม่ได้รับการรักษา ทั้งอาจไม่กล้าไปรักษา กลับกลายเป็นการกระจายเชื้อเพิ่มขึ้นอีก ยิ่งเป็นอันตรายต่อประชาชนในวงกว้าง
ไม่ว่ารัฐบาลและทางราชการจะดำเนินการใดๆเพื่อควบคุมและแก้ไขปัญหาโรคไวรัสโควิด-19 ควรจะดำเนินการด้วยความรอบคอบและประสานงานกัน เป็นอย่างดี ก่อนที่จะออกคำสั่งหรือประกาศใดๆ เพื่อไม่ให้เจ้าหน้าที่และประชาชนเกิดความสับสน จะได้ปฏิบัติตามอย่างถูกต้อง
เงื่อนไขการแสดงความคิดเห็น ซ่อน
โปรดอ่านก่อนแสดงความคิดเห็น
1.กรุณาใช้ถ้อยคำที่ สุภาพ เหมาะสม ไม่ใช้ ถ้อยคำหยาบคาย ดูหมิ่น ส่อเสียด ให้ร้ายผู้อื่น สร้างความแตกแยกในสังคม งดการใช้ถ้อยคำที่ดูหมิ่นหรือยุยงให้เกลียดชังสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์
2.หากพบข้อความที่ไม่เหมาะสม สามารถแจ้งได้ที่อีเมล์ online@naewna.com โดยทีมงานและผู้จัดทำเว็บไซด์ www.naewna.com ขอสงวนสิทธิ์ในการลบความคิดเห็นที่พิจารณาแล้วว่าไม่เหมาะสม โดยไม่ต้องชี้แจงเหตุผลใดๆ ทุกกรณี
3.ขอบเขตความรับผิดชอบของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ อยู่ที่เนื้อหาข่าวสารที่นำเสนอเท่านั้น หากมีข้อความหรือความคิดเห็นใดที่ขัดต่อข้อ 1 ถือว่าเป็นกระทำนอกเหนือเจตนาของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ และไม่เป็นเหตุอันต้องรับผิดทางกฎหมายในทุกกรณี