การค้าเสรีระหว่างไทยกับประเทศหรือภูมิภาคต่างๆทั้งแบบทวิภาคีและพหุภาคีนั้นมีส่วนสำคัญที่จะช่วยภาคการส่งออกของไทยได้มาก เพราะนั่นคือการขยายตลาดใหม่ให้กับสินค้าไทยให้กว้างขึ้น อย่างไรก็ตามการทำข้อตกลงการค้าเสรีนั้นก็มีส่วนทำให้สินค้าไทยหลายชนิดที่ได้รับผลกระทบเนื่องจากอาจจะไม่สามารถแข่งขันกับสินค้านำเข้าที่เข้ามาขายในตลาดในประเทศได้
สำหรับข้อตกลงการค้าเสรีที่ไทยเขาร่วมไปล่าสุดคือ ความตกลงหุ้นส่วนทางเศรษฐกิจระดับภูมิภาค (Regional Comprehensive Economic Partnership: RCEP) นั่นเอง และกรมเจรจาการค้าระหว่างประเทศ กระทรวงพาณิชย์ ได้ออกมายืนยันว่า ความตกลง RCEP จะช่วยขยายโอกาสและสร้างแต้มต่อให้กับสินค้าไทยจากการที่ 90-92% ของสินค้าส่งออกไทยจะไม่ถูกเก็บภาษีนำเข้าจากตลาด RCEP โดยเฉพาะจีน เกาหลีใต้ และญี่ปุ่น ได้เปิดตลาดเพิ่มเติมให้กับสินค้าไทยใน RCEP เช่น สินค้าประมง แป้งมันสำปะหลัง สับปะรด น้ำมะพร้าว น้ำส้ม อาหารแปรรูป ผักผลไม้แปรรูป ส่วนประกอบอุปกรณ์ไฟฟ้า พลาสติก เคมีภัณฑ์ ชิ้นส่วนยานยนต์ เส้นใย เครื่องแต่งกาย และกระดาษ เป็นต้น อีกทั้งยังเพิ่มทางเลือกในการใช้วัตถุดิบจาก 15 ประเทศ RCEP มาผลิตและส่งออกไปตลาด RCEP โดยได้รับสิทธิประโยชน์ทางภาษี และการใช้กฎถิ่นกำเนิดสินค้าเดียวกัน ซึ่งจะช่วยลดต้นทุนและความยุ่งยากในการบริหารจัดการ
นอกจากนี้ RCEP ยังช่วยอำนวยความสะดวกทางการค้าและการลงทุนระหว่างสมาชิก เนื่องจากมีกฎระเบียบมาตรการทางการค้า และพิธีการทางศุลกากรที่สอดคล้องกัน รวมทั้งลดความยุ่งยากและซับซ้อน เช่น การกำหนดเวลาตรวจปล่อยสินค้า ณ ด่านศุลกากร สำหรับสินค้าเร่งด่วนและเน่าเสียง่ายต้องดำเนินการแล้วเสร็จภายใน 6 ชั่วโมง และสินค้าทั่วไป ภายใน 48 ชั่วโมง เป็นต้น นอกจากนี้ ยังสร้างโอกาสในการขยายตลาดการค้าบริการและการลงทุนโดยเฉพาะธุรกิจที่ไทยมีศักยภาพ เช่น ก่อสร้าง บริการด้านสุขภาพ ภาพยนตร์และบันเทิง แอนิเมชั่น ตัดต่อภาพและเสียง และการค้าปลีก เป็นต้น รวมทั้งดึงดูดการลงทุนในสาขาที่ไทยมีความต้องการและเป็นเทคโนโลยีใหม่ อีกทั้งยังกำหนดให้ประเทศสมาชิกต้องมีกฎหมายเพื่อส่งเสริมการค้าไร้กระดาษ คุ้มครองผู้บริโภคออนไลน์ รวมถึงคุ้มครองข้อมูลส่วนบุคคลออนไลน์ ซึ่งจะช่วยสร้างสภาพแวดล้อมที่เอื้อต่อการพัฒนาพาณิชย์อิเล็กทรอนิกส์ นอกจากนี้ RCEP ยังให้ความสำคัญกับการเสริมสร้างศักยภาพของ SME ผ่านการส่งเสริมความร่วมมือในการเข้าถึงข้อมูลกฎระเบียบทางการค้า การมีส่วนร่วมของ SME ในห่วงโซ่การผลิตโลกและการค้าผ่านอี-คอมเมิร์ซ
นอกจากนี้ หลังจากที่รัฐสภาเห็นชอบให้ไทยให้สัตยาบันความตกลง RCEP แล้ว หน่วยงานที่จะต้องปรับแนวปฏิบัติให้เสร็จก่อนที่ไทยจะยื่นหนังสือสัตยาบันต่อเลขาธิการอาเซียน ได้แก่ กรมศุลกากร ปรับพิกัดอัตราศุลกากรจาก HS 2012 เป็น HS 2017ตามหลักเกณฑ์ขององค์การศุลกากรโลก (World Customs Organizations : WCO) รวมทั้งออกประกาศกระทรวงการคลังเพื่อยกเว้นอากรและลดอัตราอากรศุลกากรภายใต้ความตกลง RCEP และกำหนดหลักเกณฑ์และ พิธีการศุลกากรให้สอดคล้องกับความตกลง กรมการค้าต่างประเทศออกหนังสือรับรองถิ่นกำเนิดสินค้า (Certificate of Origin : CO)และปรับระบบการให้บริการออกหนังสือรับรองถิ่นกำเนิดสินค้า และแบบพิมพ์หนังสือรับรองถิ่นกำเนิดสินค้าให้สอดคล้องกับที่สมาชิก RCEP กำหนด และสำนักงานเศรษฐกิจอุตสาหกรรม ออกประกาศกระทรวงเพื่อปฏิบัติตามพันธกรณีเรื่องเงื่อนไขการนำเข้าชิ้นส่วนยานยนต์ (Original Equipment Manufacturing :OEM) ซึ่งคาดว่าความตกลง RCEP จะมีผลใช้บังคับภายในปี 2564 และเมื่อสมาชิกอาเซียนอย่างน้อย 6 ประเทศ และสมาชิกนอกอาเซียนอย่างน้อย 3 ประเทศ ได้ให้สัตยาบันความตกลงแล้ว อีก 60 วันหลังจากนั้น
สำหรับในระยะยาวที่จะต้องดำเนินการให้เสร็จใน 3-5 ปี ซึ่งสอดคล้องกับนโยบาย และเป็นสิ่งที่กระทรวงพาณิชย์ โดยกรมทรัพย์สินทางปัญญาดำเนินการอยู่ เพราะตระหนักถึงความสำคัญของการยกระดับการคุ้มครองงานลิขสิทธิ์ ให้ทันสมัย และสอดคล้องกับรูปแบบการค้าที่เปลี่ยนแปลงไปในยุคเทคโนโลยีดิจิทัล คือ การเข้าเป็นภาคีสนธิสัญญา ว่าด้วยลิขสิทธิ์ (WCT) และสนธิสัญญาว่าด้วยการคุ้มครองสิทธิของนักแสดง และผู้ผลิตสิ่งบันทึกเสียงขององค์การทรัพย์สินทางปัญญาโลก ซึ่งเป็นเรื่องที่ปรากฏอยู่ในแผนงานด้านทรัพย์สินทางปัญญาของอาเซียนเช่นกัน
ความตกลง RCEP เป็น FTA ฉบับที่ 14 ของไทย และจะเป็นความตกลงการค้าเสรีที่ใหญ่ที่สุดในโลก เนื่องจากประกอบด้วย สมาชิก 15 ประเทศ ได้แก่ อาเซียน 10 ประเทศ จีน ญี่ปุ่น เกาหลีใต้ ออสเตรเลีย และนิวซีแลนด์ รวมกว่า 2,200 ล้านคน หรือ 1 ใน 3 ของประชากรโลก และมีมูลค่าการค้ารวม 326 ล้านล้านบาท หรือ 1 ใน 3 ของการค้าโลก ในปี 2563 การค้ารวมระหว่างไทยกับสมาชิก RCEP มีมูลค่า 2.52 แสนล้านเหรียญสหรัฐ หรือประมาณ 7.87ล้านล้านบาท (57.5% ของการค้ารวมของไทย) โดยไทยส่งออกไป RCEP มูลค่า 1.23 แสนล้านเหรียญสหรัฐ หรือประมาณ 3.83 ล้านล้านบาท (53.3% ของการส่งออกไทย) สินค้าส่งออกสำคัญ เช่น รถยนต์ อุปกรณ์และส่วนประกอบ เม็ดพลาสติก อัญมณีและเครื่องประดับ เครื่องคอมพิวเตอร์ อุปกรณ์และส่วนประกอบ เคมีภัณฑ์ ผลิตภัณฑ์ยาง ฯลฯ
อย่างไรก็ดี ในกรอบข้อตกลงการค้าเสรีต่างๆที่ไทยได้เข้าร่วม ย่อมมีผลกระทบต่อผู้ประกอบการหรือเกษตรกรไทยเช่นกัน ดังนั้น กระทรวงพาณิชย์จึงได้เร่งดำเนินการ จัดตั้งกองทุน FTA เพื่อใช้เป็นแหล่งเงินทุนช่วยเหลือเยียวยาผู้ที่ได้รับผลกระทบทั้งภาคเกษตร อุตสาหกรรม และภาคบริการ
สำหรับความคืบหน้าล่าสุดของกองทุน FTA นั้นหลังจากที่กรมเจรจาการค้าระหว่างประเทศ ได้มอบหน่วยวิจัยศึกษาแนวทางการจัดตั้งกองทุน FTA และจัดรับฟังความเห็นผู้เกี่ยวข้องทุกภาคส่วนมาอย่างต่อเนื่อง ล่าสุดได้จัดทำรายละเอียดข้อเสนอการขอตั้งกองทุน FTA ใกล้เสร็จแล้ว ประกอบด้วยประเด็นสำคัญ อาทิ การจัดตั้งกองทุน เพื่อเป็นแหล่งเงินทุนสำหรับเตรียมความพร้อม ปรับตัว และช่วยเหลือเยียวยาผู้ที่ได้รับผลกระทบจาก FTA ให้กับภาคการผลิต (เกษตรและอุตสาหกรรม) และภาคบริการ ซึ่งความช่วยเหลือแบ่งเป็น 2 รูปแบบ คือ เงินจ่ายขาด อาทิ การวิจัยพัฒนา การจัดหาที่ปรึกษา การฝึกอบรม กิจกรรมที่สนับสนุนการตลาด และเงินหมุนเวียน อาทิ เงินลงทุนในสิ่งก่อสร้าง และค่าเครื่องมืออุปกรณ์ โดยจะมีหน่วยงานข้อกลางที่เป็นภาครัฐ ภาคเอกชน ภาคเกษตร ภาควิชาการ หรือธนาคารของรัฐในระดับพื้นที่ เป็นตัวกลางสำหรับประสานงานและเสนอคำขอรับความช่วยเหลือไปยังหน่วยบริหารกองทุน FTA
ขณะนี้กรมเจรจาการค้าฯ เตรียมหารือกับหน่วยงานที่เกี่ยวข้องเพิ่มเติมเรื่องแหล่งเงินทุน เนื่องจากการตั้งกองทุนจำเป็นต้องมีรายได้จากแหล่งอื่นเสริม นอกเหนือจากเงินทุนประเดิมของรัฐบาลและงบประมาณประจำปี ซึ่งหากได้ข้อสรุป จะนำเสนอต่อที่ประชุมคณะทำงานพิจารณาแนวทางการพัฒนากองทุนฯ ซึ่งมีปลัดกระทรวงพาณิชย์เป็นประธานก่อนเสนอนายจุรินทร์ ลักษณวิศิษฎ์ รองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงพาณิชย์ เพื่อขอความเห็นชอบให้เสนอเรื่องการตั้งกองทุน FTA ต่อคณะกรรมการนโยบายการบริหารทุนหมุนเวียน ที่มีรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลังเป็นประธาน และเมื่อ คณะกรรมการนโยบายฯ เห็นชอบในหลักการ กรมฯ จะนำร่าง พ.ร.บ.จัดตั้งกองทุน FTA เข้าสู่กระบวนการประชาพิจารณ์ ก่อนเสนอคณะรัฐมนตรี และรัฐสภาตามกระบวนการตรากฎหมายต่อไป
กระบองเพชร
เงื่อนไขการแสดงความคิดเห็น ซ่อน
โปรดอ่านก่อนแสดงความคิดเห็น
1.กรุณาใช้ถ้อยคำที่ สุภาพ เหมาะสม ไม่ใช้ ถ้อยคำหยาบคาย ดูหมิ่น ส่อเสียด ให้ร้ายผู้อื่น สร้างความแตกแยกในสังคม งดการใช้ถ้อยคำที่ดูหมิ่นหรือยุยงให้เกลียดชังสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์
2.หากพบข้อความที่ไม่เหมาะสม สามารถแจ้งได้ที่อีเมล์ online@naewna.com โดยทีมงานและผู้จัดทำเว็บไซด์ www.naewna.com ขอสงวนสิทธิ์ในการลบความคิดเห็นที่พิจารณาแล้วว่าไม่เหมาะสม โดยไม่ต้องชี้แจงเหตุผลใดๆ ทุกกรณี
3.ขอบเขตความรับผิดชอบของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ อยู่ที่เนื้อหาข่าวสารที่นำเสนอเท่านั้น หากมีข้อความหรือความคิดเห็นใดที่ขัดต่อข้อ 1 ถือว่าเป็นกระทำนอกเหนือเจตนาของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ และไม่เป็นเหตุอันต้องรับผิดทางกฎหมายในทุกกรณี