แม้จะทราบกันดีว่า บุหรี่เต็มไปด้วย สารนิโคติน หากร่างกายได้รับนานๆ จะเป็นอันตรายต่อสุขภาพ ส่งผลให้เกิดโรคต่างๆ เช่น ถุงลมโป่งพอง มะเร็งปอด โรคหัวใจการสูบบุหรี่ 1 มวน อาจทำให้อายุสั้นลง 7 นาที ทั้งที่ซองบุหรี่จะมีภาพที่แสดงถึงอันตรายจากการสูบบุหรี่ ควันบุหรี่ยังทำร้ายคนรอบข้างได้อย่างร้ายกาจ แต่กระนั้นก็ตาม การเลิกบุหรี่อาจไม่ใช่เรื่องง่ายสำหรับบางคน
ภาษีสรรพสามิต (Excise Tax) จัดเก็บจากสินค้าและบริการ ที่อาจส่งผลเสียต่อสุขภาพ และศีลธรรมอันดีมีลักษณะเป็นสินค้าและบริการที่ฟุ่มเฟือย เช่น ยาสูบสุราแช่ สุรากลั่นเครื่องดื่มชูกําลัง ไพ่ สลากกินแบ่งรัฐบาล สนามแข่งม้า สถานประกอบการด้านบันเทิงเครื่องใช้ไฟฟ้า รถยนต์ ภาษีสุราและยาสูบ บางทีเรียกว่าภาษีบาป (sin tax) เพราะเป็นการสื่อความหมายถึงรัฐไม่สนับสนุนและต้องการให้ประชาชนลด ละ เลิกสุราและยาสูบ
การจัดเก็บภาษีสรรพสามิตยาสูบจะจัดเก็บจากผลิตภัณฑ์หรือสินค้า ได้แก่ ยาเส้น (ใบยาหรือยาอัดซึ่งได้หั่นเป็นเส้นและแห้ง) และยาสูบ (บุหรี่ซิกาแรต บุหรี่ซิการ์บุหรี่อื่นๆ ยาเส้นปรุง รวมถึงยาเคี้ยว) โดยจัดเก็บเป็นค่าแสตมป์ยาสูบ (Tax Point) แสตมป์นี้จะนำไปปิดบนซองยาเส้นหรือยาสูบสําหรับยาสูบที่ผลิตในประเทศ ผู้มีหน้าที่เสียภาษี คือ ผู้ประกอบอุตสาหกรรมยาสูบในประเทศไทยที่ได้รับอนุญาตให้ประกอบอุตสาหกรรมยาสูบจากกรมสรรพสามิตชำระค่าแสตมป์ยาสูบและปิดแสตมป์ยาสูบก่อนนำออกจากโรงอุตสาหกรรม กรณียาสูบนำเข้าจากต่างประเทศ ตัวแทนนำเข้ามีหน้าที่เสียภาษี โดยต้องชำระค่าแสตมป์ยาสูบ และปิดแสตมป์ยาสูบก่อนรับมอบจากเจ้าพนักงานศุลกากรผู้ผลิตหรือนำเข้ายาสูบ มีหน้าที่ต้องจดทะเบียนสรรพสามิต
ในการคิดคํานวณภาษีสรรพสามิตยาสูบตามพ.ร.บ. ยาสูบ พ.ศ.2509 สําหรับยาสูบในประเทศและยาสูบที่นําเข้าต้องคํานวณแบบผสม (รวมถึงบุหรี่ซิกาแรต)คือใช้อัตราภาษีตามมูลค่า (ถ้าเป็นยาสูบที่ผลิตในประเทศไทยจะใช้ราคาขาย ณ โรงอุตสาหกรรมยาสูบเป็นฐานภาษีสําหรับยาสูบที่นําเข้า ให้ถือตามราคา ซี.ไอ.เอฟ. คือ ราคายาสูบที่บวกด้วยค่าประกันภัยและค่าขนส่งถึงด่านศุลกากร เป็นฐานภาษี) และอัตราภาษีตามสภาพหรือตามปริมาณ (ใช้ปริมาณยาสูบตามน้ำหนักเป็นกรัมเป็นฐานภาษี) หากวิธีใดคํานวณแล้วเสียภาษีเป็นเงินสูงกว่า ให้เก็บตามอัตราภาษีที่สูงกว่า
องค์การอนามัยโลกเสนอว่า การขึ้นราคาบุหรี่มีประสิทธิภาพสูงในการลดความต้องการบริโภค ช่วยหยุดและป้องกันการเริ่มใช้ยาสูบ การเพิ่มราคาบุหรี่ร้อยละ 10จะลดความต้องการสูบบุหรี่ได้ร้อยละ 4 ในประเทศมีรายได้สูง และร้อยละ 5 ในประเทศรายได้ต่ำและปานกลาง
เมื่อปีพ.ศ.2560 กรมสรรพสามิตออกกฎกระทรวงกำหนดพิกัดอัตราภาษีสรรพสามิตขึ้นภาษียาสูบเป็น2 อัตรา คือ บุหรี่ไม่เกินซองละ 60 บาท เสียภาษีร้อยละ 20ส่วนซองละ 60 บาทขึ้นไป เสียภาษีร้อยละ 40 การขึ้นภาษีนี้ส่งผลให้บุหรี่ไทยราคาสูงขึ้น ทั้งขายได้น้อยลงในขณะที่บุหรี่นอกราคาถูกลง ทำให้ขายได้มากขึ้นทั้งๆ ที่บุหรี่เป็นสินค้าที่อันตราย รัฐควรต้องกำหนดราคาให้สูงขึ้น เพื่อให้คนสามารถลด ละ เลิกได้ และไม่เป็นการส่งเสริมนักสูบหน้าใหม่ โดยเฉพาะกลุ่มเยาวชน
การขึ้นราคาบุหรี่ไทย ส่งผลให้รัฐวิสาหกิจยาสูบและชาวไร่ยาสูบได้รับผลกระทบเป็นอย่างมาก จากการรับซื้อใบยาสูบที่ลดลงฮวบ กลุ่มชาวไร่ยาสูบมีรายได้ลดลงกว่าพันล้านบาท เพราะคนหันไปซื้อบุหรี่นอก แต่เดิมนั้นบุหรี่นอกจำหน่ายซองละ 70-72 บาท ควรจะต้องเสียภาษีร้อยละ 40 แต่ราคากลับลดลงเหลือ 60 บาท เนื่องจากภาษีลดลงเหลือร้อยละ 20
นักวิชาการหลายท่านได้ให้ความเห็นในเรื่องนี้ตรงกันว่า การปล่อยให้บุหรี่นอกลดราคา ไม่แต่เป็นเพียงขัดกับหลักเศรษฐศาสตร์ แต่ยังขัดกับคำชี้แนะของธนาคารโลกและองค์การอนามัยโลก เพราะบุหรี่เป็นสินค้าอันตราย การปรับโครงสร้างภาษีจะต้องไม่ทำให้ราคาจำหน่ายบุหรี่ลดลงแต่กรมสรรพสามิตกลับกำหนดพิกัดอัตราภาษี โดยไม่บัญญัติให้คงราคาเดิมหรืออย่างน้อยต้องไม่ต่ำกว่าราคาเดิมไว้ก่อนบังคับใช้ ส่งผลให้บุหรี่นำเข้าลดราคาได้
ข้อมูลปี พ.ศ.2560-2563 รัฐมีรายได้นำส่งแผ่นดินลดลงมากกว่า 10,000-21,000 ล้านบาทต่อปี เมื่อเปรียบเทียบกับช่วงก่อนปีพ.ศ.2560 การทบทวนเรื่องราคาและภาษีบุหรี่ ย่อมก่อให้เกิดประโยชน์แก่สังคมโดยรวม
การกำหนดอัตราภาษียาสูบ 2 อัตราของกรมสรรพสามิต เป็นการขัดต่อหลักการจัดเก็บภาษีที่ดีคือ หลักความเสมอภาคและหลักความเป็นธรรม (Equity and fairness) กล่าวคือผู้ประกอบการที่นำเข้าบุหรี่จากต่างประเทศกับผู้ประกอบการที่ผลิตและจำหน่ายบุหรี่ในประเทศ ควรถูกจัดเก็บภาษีในอัตราเดียว เพื่อสร้างความเป็นธรรมกับผู้ประกอบการรายอื่น
หากรัฐย้อนกลับไปกำหนดห้ามลดราคาและใช้ราคาบุหรี่เดิม ก่อนที่จะบังคับใช้กฎกระทรวงกำหนดพิกัดอัตราภาษีสรรพสามิต พ.ศ. 2560 ย่อมเป็นประโยชน์ต่อส่วนรวม และสอดคล้องกับกรอบอนุสัญญาว่าด้วยการควบคุมยาสูบขององค์การอนามัยโลกที่ไทยลงร่วมลงนามไว้
ขณะนี้ กรมสรรพสามิตกำลังเร่งสรุปโครงสร้างภาษีบุหรี่ใหม่ เพื่อให้ทันใช้บังคับในวันที่ 1 ตุลาคม พ.ศ. 2564 ประชาชนต้องการเห็นว่า การปรับโครงสร้างภาษีครั้งนี้ จะต้องครอบคลุมให้ได้ใน 4 เรื่องหลัก คือ 1.การดูแลเกษตรกร 2.สุขภาพของประชาชน 3.ปราบปรามบุหรี่เถื่อน และ 4.การจัดเก็บรายได้ของกรม
ถึงเวลาแล้วที่รัฐบาล โดยกรมสรรพสามิตและกระทรวงการคลัง ควรปรับภาษียาสูบให้มีความสมดุลมากขึ้นในทุกๆ มิติ เพื่อเป็นมาตรการป้องกันและตรวจสอบการหลีกเลี่ยงภาษีของผู้ประกอบการและรักษาผลประโยชน์ของประเทศในขณะเดียวกันต้องลดการบริโภคยาสูบของประชาชน
เงื่อนไขการแสดงความคิดเห็น ซ่อน
โปรดอ่านก่อนแสดงความคิดเห็น
1.กรุณาใช้ถ้อยคำที่ สุภาพ เหมาะสม ไม่ใช้ ถ้อยคำหยาบคาย ดูหมิ่น ส่อเสียด ให้ร้ายผู้อื่น สร้างความแตกแยกในสังคม งดการใช้ถ้อยคำที่ดูหมิ่นหรือยุยงให้เกลียดชังสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์
2.หากพบข้อความที่ไม่เหมาะสม สามารถแจ้งได้ที่อีเมล์ online@naewna.com โดยทีมงานและผู้จัดทำเว็บไซด์ www.naewna.com ขอสงวนสิทธิ์ในการลบความคิดเห็นที่พิจารณาแล้วว่าไม่เหมาะสม โดยไม่ต้องชี้แจงเหตุผลใดๆ ทุกกรณี
3.ขอบเขตความรับผิดชอบของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ อยู่ที่เนื้อหาข่าวสารที่นำเสนอเท่านั้น หากมีข้อความหรือความคิดเห็นใดที่ขัดต่อข้อ 1 ถือว่าเป็นกระทำนอกเหนือเจตนาของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ และไม่เป็นเหตุอันต้องรับผิดทางกฎหมายในทุกกรณี