ในที่สุดเมื่อวันที่ 10 กันยายน 2564 ในการประชุมร่วมรัฐสภาที่ประกอบด้วยสมาชิกสภาผู้แทนราษฎร และสมาชิกวุฒิสภา เพื่อพิจารณาร่างรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทยแก้ไขเพิ่มเติมรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย พ.ศ. 2560ได้ลงมติในวาระที่สาม ให้ใช้บัตรเลือกตั้งสมาชิกสภาผู้แทนราษฎร 2 ใบ
ก่อนหน้านี้มีประเด็นที่ถูกเถียงกันในสังคมเป็นอย่างมากว่า บัตรเลือกตั้งสมาชิกสภาผู้แทนราษฎร ควรจะเป็น 1 ใบ หรือ 2 ใบ และหากเป็นอย่างใดอย่างหนึ่งแล้ว พรรคการเมืองประเภทไหนจะได้เปรียบหรือได้ประโยชน์มากกว่ากัน
นับตั้งแต่มีการเปลี่ยนแปลงการปกครองของประเทศไทย เป็นระบอบประชาธิปไตยตั้งแต่ปีพ.ศ. 2475 เป็นต้นมา แต่เดิมการเลือกตั้งสมาชิกสภาผู้แทนราษฎร จะเป็นการเลือกตั้งแบบ ผู้แทนที่เป็นตัวแทนเขตเลือกตั้งเท่านั้น เราจะมีบัตรเลือกตั้ง สมาชิกสภาผู้แทนราษฎร 1 ใบมาโดยตลอด
จนเมื่อเรามีรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทยพ.ศ. 2540 ที่กำหนดให้การเลือกตั้งสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรมี 2 ประเภท คือ (1) สมาชิกสภาผู้แทนราษฎรที่มาจากการเลือกตั้งโดยการแบ่งเขตเลือกตั้ง หรือที่เรียกว่า สส.เขตมีพื้นที่อาณาเขตเลือกตั้งที่แน่นอน (2) สมาชิกสภาผู้แทนราษฎรที่มาจากการเลือกตั้งโดยบัญชีรายชื่อ หรือที่เรียกว่าสส.บัญชีรายชื่อ ซึ่งพรรคการเมืองแต่ละพรรคจะคัดเลือกบุคคลที่เหมาะสมอยู่ในบัญชีรายชื่อ แล้วให้ผู้มีสิทธิเลือกตั้งออกเสียงลงคะแนนเลือกพรรคการเมือง แล้วจึงนำคะแนนที่ได้จากการเลือกตั้งประเภทนี้ มาคำนวณเป็นสัดส่วนว่าพรรคการเมืองที่ส่งผู้สมัครแบบบัญชีรายชื่อ จะได้จำนวนสส.กี่คน
ตั้งแต่นั้นเป็นต้นมา การเลือกตั้งสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรจึงมีบัตรเลือกตั้ง 2 ใบ ใบแรกสำหรับเลือก สส.เขต ส่วนใบที่สอง สำหรับเลือก สส.บัญชีรายชื่อ
การเลือกตั้ง สส.บัญชีรายชื่อ ที่ใช้ในประเทศไทย เราไม่ได้คิดกันขึ้นมาเอง แต่เป็นการนำแนวความคิดและวิธีการเลือกตั้งของประเทศเยอรมนี มาปรับใช้ในประเทศไทย โดยนำมาใส่ไว้ในรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย พ.ศ. 2540 เป็นครั้งแรก เมื่อมีการยกเลิกรัฐธรรมนูญ และร่างรัฐธรรมนูญใหม่ขึ้นมาแทน ได้นำหลักการนี้มาใช้โดยตลอดจนถึงปัจจุบัน
แนวความคิดของประเทศเยอรมนี ที่กำหนดให้มีการเลือกตั้งสมาชิกสภาผู้แทนราษฎร แบบบัญชีรายชื่อ (Mixed Member Proportional -MMP) มีเจตนารมณ์ที่ว่า ประเทศเยอรมนีต้องการให้บุคคล ที่มีความรู้ความสามารถ เช่น นักวิชาการ ผู้มีประสบการณ์ในการทำงานที่เป็นประโยชน์ ได้มีโอกาสเข้ามาทำงานเป็นสมาชิกสภาผู้แทนราษฎร และทำคุณประโยชน์ให้กับประเทศชาติ โดยเปิดโอกาสให้บุคคลประเภทนี้ เป็นผู้ลงสมัครรับเลือกตั้งแบบบัญชีรายชื่อ ซึ่งจะไม่ต้องหาเสียงในพื้นที่ หรือคลุกคลีกับประชาชน แบบนักการเมืองอาชีพ เพราะอาจไม่มีความถนัดที่จะทำเช่นนั้น และหากประเทศมีผู้สมัครรับเลือกตั้งแบบเขตเลือกตั้งเพียงอย่างเดียว บุคคลที่มีคุณประโยชน์และความรู้ความสามารถประเภทนั้น คงจะมีโอกาสเข้าสภาได้น้อยมาก เพราะหาเสียงไม่เก่งและสู้นักการเมืองอาชีพไม่ได้ ทำให้ประเทศขาดโอกาส ที่จะมีคนดีเข้าสภามากขึ้น
ประเทศไทยเมื่อรับแนวความคิดให้มีสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรแบบบัญชีรายชื่อ มาจากประเทศเยอรมนี กลับไม่ได้รับแนวความคิดไว้ทั้งหมด และยังปรับเปลี่ยนเป็นแนวความคิดและวิธีการแบบไทยๆ
หากหยิบรายชื่อผู้ลงสมัครรับเลือกตั้งสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรแบบบัญชีรายชื่อ ของพรรคการเมืองในประเทศไทยส่วนใหญ่จะพบว่า อันดับต้น จะเป็นนักการเมืองอาวุโสของพรรคที่เปิดโอกาสให้พักเหนื่อยไม่ต้องไปหาเสียงในเขตพื้นที่เนื่องจากผ่านศึกมามากแล้วหรืออาจมีอายุมากแล้ว อันดับถัดมามักจะเป็นผู้มีอุปการคุณแก่พรรคการเมือง ซึ่งหมายถึงผู้ที่กระเป๋าหนักบริจาคเงินให้พรรคการเมือง เป็นจำนวนมากและอยากเล่นการเมือง ซึ่งเท่ากับรับรองผลที่จะได้เป็น สส.ค่อนข้างแน่นอน อันดับถัดมาอาจจะเป็น อดีตสส. ที่มีความอาวุโส หรือบุคคลที่มีเส้นสายในพรรค อันดับถัดมาสุดท้าย มักจะเป็นผู้มีความรู้ความสามารถ นักวิชาการ แต่สำหรับบางคนอาจเป็นข้อยกเว้นที่ ได้รับการสอดแทรกให้อยู่อันดับต้นกว่านั้น
คนที่เป็นผู้สมัครรับเลือกตั้งสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรแบบบัญชีรายชื่อ อันดับต้นๆ ย่อมมีโอกาสเป็น สส.มากกว่าผู้ที่มีรายชื่ออยู่ท้าย
รัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทยพ.ศ. 2560 ที่มีการเลือกตั้งเมื่อปีพ.ศ. 2562 ในการเลือกตั้งสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรมีทั้งแบบ สส.เขต และสส.บัญชีรายชื่อ แต่กำหนดให้มีบัตรเลือกตั้งสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรเพียงใบเดียว ตามแนวความคิดที่ว่า คะแนนเสียงทุกคะแนนไม่สูญเปล่า นำมาใช้เลือกตั้งแบบสส.เขต และสส.บัญชีรายชื่อในเวลาเดียวกัน
ทำให้ในระยะแรก มีการถกเถียง กันเป็นอย่างมากว่าจะใช้วิธีคำนวณสัดส่วนของ คะแนนผู้ได้รับเลือกตั้ง สส.บัญชีรายชื่ออย่างไร และจากแนวความคิดนี้ ทำให้ จำนวน สส.แบบบัญชีรายชื่อของแต่ละพรรคการเมืองเปลี่ยนแปลงอยู่บ่อยครั้งเมื่อมีการเลือกตั้งซ่อมสส.เขต ในแต่ละครั้ง บางคนเข้าสภาเป็นสส.บัญชีรายชื่อเพียงแค่สัปดาห์เดียว ต้องพ้นออกจากตำแหน่ง เพราะเมื่อคำนวณสัดส่วนของคะแนนเสียงแล้วหลังจากเลือกตั้งซ่อม สส.เขต กลายเป็นว่า คะแนนเสียงโดยรวมของพรรคการเมืองนั้นทั้งประเทศ ลดลง สส.บัญชีรายชื่อของพรรคการเมืองอันดับสุดท้าย
บางพรรคจึงต้องหลุดออกจากตำแหน่งไปโดยสภาพ
การที่มีบัตรเลือกตั้งสมาชิกสภาผู้แทนราษฎร 1 ใบจะมีผลทำให้พรรคการเมืองบางพรรค แม้จะเป็นพรรคขนาดกลาง และเป็นพรรคใหม่ จะได้รับเลือกตั้งสส.มากขึ้นเช่น พรรคอนาคตใหม่ ปัจจุบันเปลี่ยนชื่อเป็น พรรคก้าวไกลเมื่อปีพ.ศ. 2562 ได้รับเลือกตั้งเป็น สส.เขต 31 คน สส.บัญชีรายชื่อ 50 คน
ส่วนหนึ่งเป็นเพราะพรรคนี้ เป็นพรรคใหม่ และมีรูปลักษณ์ แบบแนวแปลกแหวกแนวไม่จำเจ ถูกใจคนรุ่นใหม่และยังได้รับอานิสงส์จากการที่พรรคไทยรักษาชาติถูกยุบ ทำให้คนหันมาเลือกพรรคนี้มากขึ้น
เมื่อมีการแก้ไขรัฐธรรมนูญ ใหม่ล่าสุด ให้กลับมาใช้บัตรเลือกตั้งสมาชิกสภาผู้แทนราษฎร 2 ใบ ทำให้หลายคนมีเข้าใจว่า พรรคการเมืองใหญ่ จะได้ประโยชน์ พรรคการเมืองเล็ก และพรรคการเมืองขนาดกลาง จะเสียประโยชน์ จนถึงขนาดที่บางพรรคอาจสูญพันธุ์
ความเห็นดังกล่าวอาจมีส่วนจริงอยู่บ้าง และมีความเป็นไปได้ แต่ที่สำคัญอยู่ที่ พรรคการเมืองควรเสนอ นโยบายที่สำคัญ และเป็นประโยชน์ต่อประชาชน โดยสามารถทำได้จริง ไม่ใช่มุ่งเพียงแค่หาเสียงให้ได้รับเลือกตั้ง
ประชาชนชาวไทย จะมีโอกาสได้ตัดสินใจเลือก สส. และพรรคการเมือง ที่มีนโยบายที่ดี และสามารถทำได้จริงในการเลือกตั้งคราวหน้าหรือไม่ หรือเป็นเพียงแค่ความคาดหวัง คงต้องติดตามกันต่อไป
เงื่อนไขการแสดงความคิดเห็น ซ่อน
โปรดอ่านก่อนแสดงความคิดเห็น
1.กรุณาใช้ถ้อยคำที่ สุภาพ เหมาะสม ไม่ใช้ ถ้อยคำหยาบคาย ดูหมิ่น ส่อเสียด ให้ร้ายผู้อื่น สร้างความแตกแยกในสังคม งดการใช้ถ้อยคำที่ดูหมิ่นหรือยุยงให้เกลียดชังสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์
2.หากพบข้อความที่ไม่เหมาะสม สามารถแจ้งได้ที่อีเมล์ online@naewna.com โดยทีมงานและผู้จัดทำเว็บไซด์ www.naewna.com ขอสงวนสิทธิ์ในการลบความคิดเห็นที่พิจารณาแล้วว่าไม่เหมาะสม โดยไม่ต้องชี้แจงเหตุผลใดๆ ทุกกรณี
3.ขอบเขตความรับผิดชอบของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ อยู่ที่เนื้อหาข่าวสารที่นำเสนอเท่านั้น หากมีข้อความหรือความคิดเห็นใดที่ขัดต่อข้อ 1 ถือว่าเป็นกระทำนอกเหนือเจตนาของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ และไม่เป็นเหตุอันต้องรับผิดทางกฎหมายในทุกกรณี