แม้ธนาคารพาณิชย์ทุกแห่ง จะมีทั้งสติ๊กเกอร์และป้ายเตือนที่มีข้อความว่า “การรับจ้างเปิดบัญชีหรือยินยอมให้ผู้อื่นเปิดบัญชีมีโทษทางกฎหมาย” เป็นตัวอักษรขนาดใหญ่ ในที่ที่เห็นได้อย่างชัดเจน นอกจากนี้ ทางศูนย์ปราบปรามอาชญากรรมทางเทคโนโลยีสารสนเทศ (ศปอส.ตร.) สำนักงานตำรวจแห่งชาติ ยังออกมาเตือนว่าบัญชีประเภทนี้ คือ “บัญชีม้า” เป็นเรื่องที่ผิดกฎหมาย แต่ข่าวการถูกหลอกให้เปิดบัญชีกลับปรากฏตามสื่ออยู่บ่อยๆ
การหลอกให้เปิดบัญชีมักจะอาศัยความรู้เท่าไม่ถึงการณ์ของเหยื่อ ความไว้เนื้อเชื่อใจ บวกกับการให้ผลตอบแทนเพื่อจูงใจเหยื่อให้หลงเชื่อ เช่น ให้เงินค่าจ้าง ให้รับเงินเยียวยารับเงินภาษีคืนเหยื่อที่ถูกหลอก มีแม้กระทั่งพระ ถูกเพื่อนสมัยเรียนหนังสือหลอกให้เปิดบัญชีรับบริจาคเงินจากคนทั่วประเทศ มาใช้เป็นค่าบวชพระให้แก่คนที่ขัดสน แต่ต้องการบวชทดแทนบุญคุณพ่อแม่ หรือหญิงตั้งครรภ์ที่ถูกเพื่อนรู้จักกันได้ไม่กี่เดือน หลอกให้เปิดบัญชีธนาคารถึง 5 บัญชี ถูกนำไปใช้โอนเงินในการขายของออนไลน์ แต่มีบางรายที่ต้องการหารายได้จากการรับจ้างเปิดบัญชี
การยินยอมเปิดบัญชีธนาคารในชื่อของตนให้ผู้อื่น หรือการหารายได้จากการรับจ้างเปิดบัญชีธนาคาร เพื่อใช้ทำธุรกรรมทางการเงินของผู้ว่าจ้าง ผู้เปิดบัญชีจะมอบสมุดบัญชีธนาคาร บัตรเอทีเอ็ม หรือซิมโทรศัพท์ที่มีการลงทะเบียน ธนาคารออนไลน์ (E-Banking) มอบให้กับผู้ว่าจ้าง จากนั้นผู้ว่าจ้างจะนำบัญชีธนาคารดังกล่าวไปใช้ในทางทุจริต ไม่ว่าจะเป็นการรับโอนเงินจากการหลอกลวงฉ้อโกงผู้อื่นทุกประเภท กรณีการขายสินค้าออนไลน์ การหลอกลวงให้ไปทำงานต่างประเทศ หรือนำไปใช้รับโอนเงินการพนัน หรือการขายยาเสพติด ทั้งนี้ เพราะผู้ว่าจ้างไม่ต้องการให้ตำรวจสาวถึงตัวผู้บงการหรืออยู่เบื้องหลัง ความเสียหายที่เกิดขึ้นมีตั้งแต่หลักหมื่นถึงร้อยล้านบาท แต่ค่าตอบแทนที่ผู้รับจ้างเปิดบัญชีได้รับเป็นเพียงหลักร้อยหรือหลักพันบาทมิหนำซ้ำยังเสี่ยงที่จะถูกดำเนินคดีฟอกเงิน ยึดทรัพย์ รวมทั้งคดีภาษี
ผู้รับจ้างเปิดบัญชีเกือบทุกคน จะให้การกับตำรวจว่า ไม่รู้เรื่องว่าผู้ว่าจ้างเอาบัญชีที่เปิดไปทำอะไรมารู้ตัวตอนที่ผู้เสียหายไปแจ้งความ และโดนทั้งหมายเรียก-หมายจับ ข้อหาแตกต่างกันไป
แม้เจ้าของบัญชีธนาคารหรือผู้รับจ้างเปิดบัญชี อาจถูกดำเนินคดีอาญาได้ในกรณี (1)ในฐานะตัวการร่วมในการกระทำความผิด ต้องระวางโทษตามที่กฎหมายกำหนดไว้สำหรับความผิดนั้น ตามประมวลกฎหมายอาญามาตรา 83 (2) ผู้สนับสนุนในการกระทำความผิด ต้องระวางโทษสองในสามส่วน ของโทษที่กฎหมายกำหนดไว้สำหรับความผิดนั้น ตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 86และหากรู้หรือควรรู้ได้ว่าผู้ที่นำบัญชีไปจะนำไปใช้ในการกระทำความผิด เจ้าของบัญชีจะมีความผิดฐานฟอกเงิน ต้องระวางโทษจำคุก 1-10 ปี หรือปรับตั้งแต่ 20,000 ถึง 200,000 บาท หรือทั้งจำทั้งปรับ ตาม พ.ร.บ.ป้องกันและปราบปรามการฟอกเงิน พ.ศ. 2542 กรณีขายสินค้าออนไลน์ จะมีความผิดตามพ.ร.บ.ว่าด้วยการกระทำผิด เกี่ยวกับคอมพิวเตอร์ พ.ศ. 2550 (พ.ศ.2560 ฉบับแก้ไข)ตามมาตรา 14 วรรคหนึ่ง (1) เป็นการนำข้อมูลเท็จเข้าสู่ระบบคอมพิวเตอร์ เพราะไม่มีสินค้า ซึ่งต้องระวางโทษจำคุกไม่เกิน 5 ปีหรือปรับไม่เกิน 100,000 บาท หรือทั้งจำทั้งปรับ
ทั้งอาจถูกสรรพากรเรียกพบ เนื่องจากได้มีประกาศกฎกระทรวง ฉบับที่ 355 (พ.ศ. 2562) ออกตามความในประมวลรัษฎากร ว่าด้วยการรายงานข้อมูลเกี่ยวกับบุคคลที่มีธุรกรรมลักษณะเฉพาะ ที่ให้สถาบันการเงินรายงานธุรกรรมการเงินลูกค้า ต่อสรรพากร หากรับโอนตั้งแต่ 3 พันครั้งขึ้นไป หรือฝาก/รับโอนเงินทุกบัญชีรวมกันตั้งแต่ 400 ครั้ง รวมเงิน 2 ล้านบาทขึ้นไป/ปี/ธนาคาร
อย่างไรก็ตาม เมื่อเป็นคดีความในชั้นศาล มีหลายคดีที่ศาลพิจารณาเห็นว่า ผู้ที่เป็นเจ้าของบัญชีไม่ได้มีส่วนเกี่ยวข้องโดยตรงในการที่ผู้ว่าจ้างให้เปิดบัญชีนำบัญชีดังกล่าวไปใช้ในทางทุจริต ทำให้เจ้าของบัญชีรอดพ้นจากการถูกลงโทษในคดีอาญา แต่ในทางแพ่งอาจต้องรับผิดชอบใช้เงินคืนให้แก่ผู้เสียหาย
ทั้งที่พฤติกรรมดังกล่าว เจ้าของบัญชีน่าจะรู้ว่า ผู้ว่าจ้างให้เปิดบัญชี น่าจะนำบัญชีไปใช้ในทางทุจริตผิดกฎหมาย มิฉะนั้นทำไมผู้ว่าจ้างให้เปิดบัญชีจึงไม่ใช้บัญชีของตนเอง แต่กลับไปใช้บัญชีของคนอื่น จึงควรที่จะมีการออกหรือตรากฎหมายใหม่เป็นการเฉพาะ เพื่อลงโทษผู้รับจ้างเปิดบัญชี
หากย้อนไปช่วงปี พ.ศ. 2520-2528 ผู้คนในสมัยนั้น จะได้ยิน “แชร์แม่ชม้อย” ซึ่ง นับว่าเป็นเจ้าแรกของแชร์ลูกโซ่ในประเทศไทย แม่ชม้อย หรือนางชม้อยทิพย์โส หรือประเสริฐศรี ผู้ที่ทำงานอยู่ในการปิโตรเลียมแห่งประเทศไทย หรือ ปตท. ซึ่งเป็นชื่อองค์กรสมัยนั้นเป็นเพียงเจ้าหน้าที่ระดับกลาง แต่กลับเป็นผู้ที่มีคนนับหน้าถือตา ได้ชักชวนให้ลงทุนในแชร์น้ำมัน รูปแบบรถบรรทุกน้ำมัน คันละ 160,500 บาทจ่ายผลตอบแทนให้เดือนละ 12,000 บาท หรือ 7.5% ต่อเดือนหรือ 90% ต่อปี ซึ่งไม่น่าจะเป็นไปได้ แต่ได้รับการตอบรับเป็นอย่างดี มีผู้ร่วมลงทุนเป็นจำนวนมาก ข้าราชการะดับสูงถึงระดับล่าง ใครมีมากสามารถลงทุนมาก จะซื้อเป็นสิบๆ คัน หรือใครมีน้อยลงทุนน้อย เป็นเพียงล้อรถน้ำมัน จะเป็น 1 ล้อ หรือ 2 ล้อ ให้ผลตอบแทนร้อยละ 65% ต่อเดือน หรือ 78% ต่อปี ช่วงเวลานั้น ไปไหนมาไหน มีแต่คนพูดถึงแม่ชม้อย
ในขณะนั้นมีเพียงประมวลกฎหมายอาญา ในความผิดข้อหาฉ้อโกงประชาชน ที่ไม่มีความชัดเจนเพียงพอและอาจไม่สามารถเอาผิดกับนางชม้อยได้ โดยนางชม้อยอ้างว่าการระดมเงินหรือแชร์น้ำมันของนางชม้อย เพื่อไปค้าน้ำมัน และออกสัญญากู้ยืมให้ สัญญาดังกล่าวได้ตกลงจะจ่ายดอกเบี้ยหรือผลประโยชน์ให้แก่ผู้ให้กู้ยืมในอัตรา 6.5% หรือ 7.5% ต่อเดือน และเมื่อไม่มีการผิดสัญญากับใคร จึงไม่สามารถเอาผิดกับนางชม้อยได้ หรือหากมีการผิดสัญญา อาจต้องรับผิดทางแพ่งเท่านั้น รัฐบาลที่มีพลเอกเปรม ติณสูลานนท์ เป็นนายกรัฐมนตรีในขณะนั้นจึงเห็นว่าการระดมเงินดังกล่าว เป็นภัยร้ายแรงต่อประชาชนที่จะต้องสูญเสียเงินจากการถูกหลอกลวง และเป็นภัยต่อระบบเศรษฐกิจของประเทศ จึงเสนอพระราชกำหนดการกู้ยืมเงินที่เป็นการฉ้อโกงประชาชน พ.ศ. 2527 ต่อสภาผู้แทนราษฎรโดยได้ประกาศและมีผลใช้บังคับ วันที่ 13 พฤศจิกายน พ.ศ. 2527 ที่ถือว่าเป็นกฎหมายพิเศษเฉพาะที่ ทำให้บรรดาเท้าแชร์ต่างๆ ในยุคนั้น และยุคปัจจุบันต้องถูกดำเนินคดีทางอาญาที่มีโทษจำคุก
เรื่องการรับจ้างเปิดบัญชี ถ้ามีกฎหมายออกมาควบคุมโดยเฉพาะอย่าง พระราชกำหนดการกู้ยืมเงินที่เป็นการฉ้อโกงประชาชน พ.ศ. 2527 ปัญหาการรับจ้างเปิดบัญชี ที่สร้างความเสียหายให้แก่ประชาชนจะลดน้อยลง
เงื่อนไขการแสดงความคิดเห็น ซ่อน
โปรดอ่านก่อนแสดงความคิดเห็น
1.กรุณาใช้ถ้อยคำที่ สุภาพ เหมาะสม ไม่ใช้ ถ้อยคำหยาบคาย ดูหมิ่น ส่อเสียด ให้ร้ายผู้อื่น สร้างความแตกแยกในสังคม งดการใช้ถ้อยคำที่ดูหมิ่นหรือยุยงให้เกลียดชังสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์
2.หากพบข้อความที่ไม่เหมาะสม สามารถแจ้งได้ที่อีเมล์ online@naewna.com โดยทีมงานและผู้จัดทำเว็บไซด์ www.naewna.com ขอสงวนสิทธิ์ในการลบความคิดเห็นที่พิจารณาแล้วว่าไม่เหมาะสม โดยไม่ต้องชี้แจงเหตุผลใดๆ ทุกกรณี
3.ขอบเขตความรับผิดชอบของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ อยู่ที่เนื้อหาข่าวสารที่นำเสนอเท่านั้น หากมีข้อความหรือความคิดเห็นใดที่ขัดต่อข้อ 1 ถือว่าเป็นกระทำนอกเหนือเจตนาของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ และไม่เป็นเหตุอันต้องรับผิดทางกฎหมายในทุกกรณี