ความนิยมชมชอบกล้วยด่างยังคงมีอยู่อย่างต่อเนื่องบางคนอาจไม่เคยรู้จักหรือเคยได้ยิน แต่เดิมนั้นกล้วยด่าง นิยมกันเพียงกลุ่มสมาชิกเล็กๆ ที่มีเพียงไม่กี่คน ปัจจุบันความนิยมได้แผ่ขยายเป็นที่นิยมในวงกว้าง ไปไหนมาไหนกลับได้ยินคนพูดถึง ยิ่งมีข่าวมีการซื้อขาย ประมูลกันในราคาสูง ราคาหลักหมื่นถึงหลักล้าน จึงอดไม่ได้ที่จะเข้าไปทำความรู้จักว่า กล้วยด่าง คือ กล้วยอะไร ต่างจากกล้วยที่ชาวสวนปลูก หรือที่ปลูกตามบ้านเช่นไร
องค์การสวนพฤกษศาสตร์ ได้ให้ข้อมูลของกล้วยด่างไว้ว่า เป็นพืชสกุล MUSACEAE มีชื่อวิทยาศาสตร์ว่า Musa (ABB Group) “Kluai Dang” มีลักษณะลำต้นสูง 2-3 เมตร ในหมู่นักสะสมนิยมซื้อขายกล้วยด่าง ที่เกิดจากความผิดปกติในระดับพันธุกรรมที่เกิดการกลายเฉพาะจุด ทั้งนี้สังเกตได้จากภายนอก คือ ส่วนใบ ลำต้น ไปจนถึงผล มีสีสันและลวดลายที่ผิดแปลกไปจากกล้วยปกติ ที่ส่วนมากเป็นสีเขียวทั้งต้น ซึ่งความผิดปกตินี้ จะมีขึ้นกับต้นกล้วยต้นนั้นไปตลอด ไม่ว่าจะอยู่ในสภาวะสมบูรณ์หรือไม่ ลักษณะผิดปกติดังกล่าว จะเกิดขึ้นและไม่กลับไปมีใบเขียวเหมือนต้นกล้วยปกติ แต่ในกรณีของกล้วยด่างเทียมนั้นเกิดกับต้นที่มีพันธุกรรมของกล้วยแบบปกติ แต่แสดงความผิดปกติออกมาคล้ายต้นกล้วยด่างจนแยกออกยากซึ่งหากต้นกล้วยต้นนั้นได้รับการดูแลเป็นอย่างดี และอยู่ในสภาพสมบูรณ์จะกลับไปมีใบสีเขียวตามเดิม
จากเพจกล้วยด่าง/Banana Thailand สนนราคาของกล้วยด่างกลางปีพ.ศ. 2564 เช่น กล้วยแดงอินโดด่างราคา 50,000-1,500,000 บาท ราคาปิดประมาณ 100,000 บาท/ต้น กล้วยฟลอริด้าด่าง ราคา 20,000-120,000 บาท ราคาปิดประมาณ 35,000 บาท/ต้น กล้วยเทพพนมด่าง ราคา 20,000-300,000 บาท ราคาปิดประมาณ 38,000 บาท/ต้น กล้วยไอศกรีมด่าง ราคา12,000-100,000 บาท ราคาปิดประมาณ 40,000 บาท/ต้น
ราคากล้วยด่างพุ่งขึ้นเร็วมาก บางคนใจถึงขนาดควักเงิน 10 ล้านบาท ซื้อกล้วยด่างแดงอินโด ที่มีความพิเศษ มี 3 ลายในต้นเดียว โดยให้เหตุผลว่า ถ้าเอาไปขายต่อได้กำไรแน่ๆ เพราะสามารถขายได้หน่อละ 2 ล้านบาท เจ้าของรถเต็นท์มือสองบางรายถึงขนาดประชาสัมพันธ์ว่า “กล้วยชนรถ” หมายถึงเอากล้วยด่างมาแลกรถ หนุ่มบางคน เพื่อไม่ให้ตกกระแส ได้หอบต้นกล้วยด่างสายพันธุ์อินโด มูลค่า 2 ล้าน ไปหมั้นสาว ล่าสุดมีผู้นำกล้วยด่างไปแลกร้านกาแฟ จนเป็นที่น่าสงสัยว่า ตามกระแสหรือสร้างกระแสกันแน่
กูรูกล้วยด่างได้ออกมาเตือนว่า หากคิดจะเล่นกล้วยด่าง ควรศึกษาหาความรู้เพราะอาจสูญเงินเปล่าได้เนื่องจากมีกล้วยด่างเทียม ที่เกิดจากการขาดสารอาหารทำให้ใบและลำต้นมีอาการใบเหลืองและสีซีดอ่อนไม่สม่ำเสมอกัน ขาดแสงสว่าง ที่ใช้ในการผลิตคลอโรฟิลล์ที่ทำให้ต้นไม้มีใบสีเขียว บางครั้งความด่าง อาจเกิดจากการเป็นโรคได้เช่นกัน
ราคากล้วยด่างที่พุ่งสูง ทำให้มีการตั้งข้อสงสัยว่าหรืออาจเป็นเพราะการปั่นราคา บางคนอาจไม่รู้จัก แต่พอเห็นคนรอบข้างมี หันไปซื้อตาม ทำให้ความนิยมกล้วยด่างเพิ่มขึ้น
เชื่อว่าแทบทุกคนคงจะรู้จักดอกทิวลิป และบางคนคงเข้าใจว่า ประเทศที่เป็นถิ่นกำเนิดดอกทิวลิปคือ เนเธอร์แลนด์ เพราะดอกทิวลิปเป็นหนึ่งในสัญลักษณ์ของประเทศเนเธอร์แลนด์ นอกจาก “กังหันลม และรองเท้าไม้” แต่แท้จริงแล้ว ถิ่นกำเนิดของดอกทิวลิป คือ ประเทศตุรกี
สำหรับการเข้ามาของดอกทิวลิปในเนเธอร์แลนด์นั้น ย้อนไปกว่า 4 ศตวรรษ บ้างว่าทูตเนเธอร์แลนด์ที่ไปประจำที่ตุรกีนำกลับมาปลูกในสวน บ้างว่าเจ้าหน้าที่ตุรกีได้นำดอกทิวลิป มามอบให้กับทูตเวียนนา เพื่อไปปลูกยังประเทศออสเตรีย แต่มีคนสวนชาวฮอลแลนด์นำกลับมาปลูก และเพาะพันธุ์ และผสมพันธุ์ใหม่จนเกิดเป็นหลากหลายสี และหลายพันธุ์ การผสมพันธุ์ดอกไม้ที่ไม่เป็นไปตามธรรมชาตินั้น ขัดต่อหลักศาสนาทั้งต้องห้าม ทำให้หัวทิวลิปนั้นมีราคาแพง เศรษฐีมักนิยมสร้างบ้านหลังใหญ่ ห้อมล้อมไปด้วยสวนทิวลิป เพื่อแสดงถึงความมั่งคั่งของตนเอง
ในปี ค.ศ. 1620 (พ.ศ. 2163) ราคาของดอกทิวลิปพุ่งขึ้น เรียกได้ว่า มีคนยอมขายบ้าน ทั้งเอาเงินเก็บทั้งชีวิต เพื่อแลกกับทิวลิปลายที่หายาก ทั้งในปี ค.ศ.1633(พ.ศ.2176) ชาวดัทช์จะใช้หัวทิวลิปซื้อแทนเงินสด เพื่อซื้อของที่มีราคาแพง ราคาดอกทิวลิป พันธุ์ Viceroy ในปีค.ศ. 1637 (พ.ศ. 2180) มีราคาถึง 4,200 กิลเดอร์หรือประมาณ 70,224 บาท เมื่อเปรียบเทียบราคากับค่าครองชีพในสมัยนั้น ถือได้ว่า ทิวลิปมีราคาเหมือนทองคำ ช่วงปี ค.ศ. 1636-1637 เรียกได้ว่าเป็น “TulipMania หรือคลั่งทิวลิป” มีการซื้อ-ขายใบจองขึ้นหรือสัญญาซื้อขายทิวลิปล่วงหน้า (Future Contract) ขึ้นใครถือสัญญานี้ เมื่อมีหัวทิวลิปออกมา จะได้หัวทิวลิปไปทำให้เกิดการเก็งกำไรจากพ่อค้าต่างๆ จนเกิดจุดสูงสุด หลังจากนั้นเพียงระยะเวลาสั้นๆ ได้เกิดเหตุการณ์ “The Dutch Tulip Mania Bubble หรือวิกฤตฟองสบู่ทิวลิป” ที่เกิดจากการที่กลุ่มคนจำนวนหนึ่งเริ่มขายทิวลิปทิ้ง เพื่อทำกำไร จุดชนวน domino effect ส่งผลให้ราคาเริ่มลดลงเรื่อยๆ
จนหลายคนในประเทศเนเธอร์แลนด์ในสมัยนั้นได้ตาสว่างพร้อมรำพันว่า “เราขายบ้าน ทรัพย์สมบัติที่หามาแทบทั้งชีวิต เพียงเพื่อแค่ดอกทิวลิปหรือ”
กรณีทำนองนี้ เมื่อสิบปีก่อน จตุคามรามเทพได้เป็นที่นิยมอย่างมาก แต่เพียงระยะเวลาสั้นๆ ความนิยมได้ลดน้อยลง ถึงขั้นที่ว่า วัดบางแห่งแจกฟรี หรือร้านพระเครื่องนำมาปล่อยในราคาเพียงหลักสิบบาท เช่นเดียวกับโป่งข่ามเมื่อหลายสิบปีผ่านมา ที่ถือเป็นแก้วศักดิ์สิทธิ์ เชื่อว่า สามารถคุ้มภัยให้คุณในทางดี สามารถดูดซับพลังงานจากธรรมชาติได้ เป็นที่นิยมในสมัยปู่ ย่า ตา ยาย และมีราคาแพง แต่ปัจจุบัน คงมีเพียงไม่กี่คนที่จะรู้จัก และไม่มีราคาอีกต่อไป
การลงทุนมีความเสี่ยง ผู้ลงทุนต้องมีสติและยอมรับความเสี่ยง โดยไม่ได้หวังแต่กำไรเพียงอย่างเดียว
เงื่อนไขการแสดงความคิดเห็น ซ่อน
โปรดอ่านก่อนแสดงความคิดเห็น
1.กรุณาใช้ถ้อยคำที่ สุภาพ เหมาะสม ไม่ใช้ ถ้อยคำหยาบคาย ดูหมิ่น ส่อเสียด ให้ร้ายผู้อื่น สร้างความแตกแยกในสังคม งดการใช้ถ้อยคำที่ดูหมิ่นหรือยุยงให้เกลียดชังสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์
2.หากพบข้อความที่ไม่เหมาะสม สามารถแจ้งได้ที่อีเมล์ online@naewna.com โดยทีมงานและผู้จัดทำเว็บไซด์ www.naewna.com ขอสงวนสิทธิ์ในการลบความคิดเห็นที่พิจารณาแล้วว่าไม่เหมาะสม โดยไม่ต้องชี้แจงเหตุผลใดๆ ทุกกรณี
3.ขอบเขตความรับผิดชอบของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ อยู่ที่เนื้อหาข่าวสารที่นำเสนอเท่านั้น หากมีข้อความหรือความคิดเห็นใดที่ขัดต่อข้อ 1 ถือว่าเป็นกระทำนอกเหนือเจตนาของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ และไม่เป็นเหตุอันต้องรับผิดทางกฎหมายในทุกกรณี