สำนักงานคณะกรรมการกิจการกระจายเสียงกิจการโทรทัศน์และกิจการโทรคมนาคมแห่งชาติ (กสทช.) เป็นองค์กรอิสระ ที่เป็นองค์กรของรัฐ จัดตั้งขึ้นตามพระราชบัญญัติองค์กรจัดสรรคลื่นความถี่และกำกับการประกอบ กิจการกระจายเสียงวิทยุโทรทัศน์ และกิจการโทรคมนาคม พ.ศ. 2553 แก้ไขเพิ่มเติม พ.ศ. 2566
ตามกฎหมายฉบับนี้ กสทช. ซึ่งเป็นองค์กรอิสระ จึงมีหน้าที่โดยตรงในการกำกับดูแล กิจการกระจายเสียงวิทยุโทรทัศน์ และกิจการโทรคมนาคม
ล่าสุด กสทช. ตกอยู่วังวนแห่งความพิพาทภายในรุนแรง โดย กสทช. ได้ถูกยื่นฟ้องรวม 5 คดี ทั้งในศาลปกครองกลาง และศาลอาญาคดีทุจริตและประพฤติมิชอบกลาง ทั้งที่ กสทช. ควรจะใช้เวลาในการกำกับดูแลตามหน้าที่ ทางกฎหมาย กลับต้องใช้เวลาในการสู้คดี ที่เป็นปัญหาเกิดจากองค์กรภายในของตนเอง
คณะกรรมการ กสทช. แตกแยกแบ่งฝ่ายเป็นขั้ว ระหว่างเสียงข้างมากและเสียงข้างน้อยประธาน กสทช. ได้เผชิญแรงกดดันจากการใช้ดุลพินิจในการถ่วงดุลอำนาจ
กรณีนี้ พระราชบัญญัติองค์กรจัดสรรคลื่นความถี่ฯ รวมถึงประกาศ และระเบียบของ กสทช. ยังมีช่องโหว่เปิดทางตีความแตกต่างอยู่มากมาย คณะกรรมการ กสทช.จึงต้องใช้อำนาจอย่างรอบคอบ และไม่ควรใช้มติเสียงข้างมากเป็นเครื่องมือกดดัน หรือเพื่อเอาชนะคะคาน
ภายใต้สถานการณ์เช่นนี้ ตามหลักกฎหมายและหลักธรรมาภิบาลในการปฏิบัติหน้าที่ ศาสตราจารย์คลินิกนายแพทย์ สรณ บุญใบชัยพฤกษ์ ประธาน กสทช. ต้องแสดงให้เห็นถึงความระมัดระวังอย่างสูงสุดในการปฏิบัติหน้าที่ โดยเฉพาะในประเด็นที่เกี่ยวข้องกับการแต่งตั้งบุคคลระดับสูงและการดำเนินการสอบวินัยซึ่งอาจส่งผลกระทบต่อภาพลักษณ์ขององค์กรในระยะยาว โดยการร่วมหารือกับคณะกรรมการ กสทช. ท่านอื่นๆ เพื่อป้องกันปัญหา ที่อาจทำให้เกิดการเข้าใจผิด
คณะกรรมการ กสทช. เป็นองค์กรที่เป็นระบบกรรมการ การมีมติเสียงข้างมากไม่ควรถูกใช้เป็นเครื่องมือในการกดดันผู้บริหารสูงสุด หากแต่ต้องมองเห็นความจำเป็นในการถ่วงดุลอย่างมืออาชีพ ความขัดแย้งภายในที่กำลังดำเนินอยู่จึงสะท้อนถึงปัญหาเชิงโครงสร้างในกฎหมายที่ยังเปิดช่องตีความต่างๆ ดังนั้น การปฏิบัติหน้าที่ในฐานะผู้นำองค์กรต้องมีหลักยึดในการทำงานด้วย
ในช่วงที่ผ่านมา การปฏิบัติหน้าที่ของ กสทช. ได้ถูกจับตามองค่อนข้างมาก ส่วนหนึ่งมาจากปัญหาภายในองค์กรที่มีคดีพิพาทภายในหลายคดี ทั้งคดีในศาลปกครองกลางและศาลอาญา
คดีทุจริตและประพฤติมิชอบกลาง ซึ่งสะท้อนความขัดแย้งภายใน
ปัจจุบันมีคดีพิพาทถึง 5 คดี
1. คดีศาลปกครอง กรณี กรรมการ กสทช. 4 ราย ได้แก่ พล.อ.ท.ดร.ธนพันธุ์ หร่ายเจริญ รศ.ดร.พิรงรอง รามสูต รศ.ดร.ศุภัช ศุภชลาศัย และ รศ.ดร.สมภพ ภูริวิกรัยพงศ์ (ผู้ฟ้องคดีที่ 1-4) ยื่นฟ้อง ศ.คลินิก นพ.สรณ บุญใบชัยพฤกษ์ ประธาน กสทช. (ผู้ถูกฟ้องคดี) ต่อศาลปกครองกลาง เป็นคดีพิพาทเกี่ยวกับการที่หน่วยงานทางปกครองหรือเจ้าหน้าที่ของรัฐละเลยต่อหน้าที่ฯนัดฟังคำพิพากษา 17 กรกฎาคม 2568 ซึ่งก่อนหน้าศาลปกครองกลางในคดีนี้ ได้เคยมีคำสั่งยกคำขอคุ้มครองชั่วคราวฯ ของ 4 กสทช.โดยเห็นว่าความเดือดร้อนเสียหายของ 4 กสทช. สืบเนื่องมาจากประธาน กสทช. มีความเห็นเกี่ยวกับข้อกฎหมายแตกต่างกับตน
เกี่ยวกับเรื่องนี้ ประเด็นที่พิพาทในคดีนี้เป็นเรื่องความเห็นในข้อกฎหมายที่เห็นต่างกัน ในอดีตที่ผ่านมา คำพิพากษาหรือคำตัดสินของศาล อาจมีความเห็นที่แตกต่างกันได้ในระหว่างศาลแต่ละชั้นกัน คำพิพากษาของศาลปกครองกลาง อาจมีการอุทธรณ์โต้แย้งต่อศาลปกครองสูงสุดต่อไป
2. คดีศาลปกครอง กรณี นางสุรางคณา วายุภาพ อดีตผู้สมัครคัดเลือกเลขาธิการ กสทช. ฟ้อง ประธาน กสทช. และกสทช. ต่อศาลปกครองกลาง ขอให้เพิกถอนคำสั่งหรือประกาศหรือคำวินิจฉัยผลการคัดเลือกบุคคลเพื่อแต่งตั้งเป็นเลขาธิการ กสทช. และให้ กสทช. ออกระเบียบหรือประกาศ เรื่องหลักเกณฑ์วิธีการคัดเลือกให้ดำรงตำแหน่งเลขาธิการ กสทช.ใหม่ ให้ชอบด้วยกฎหมาย
3. คดีศาลอาญาคดีทุจริตและประพฤติมิชอบกลาง กรณีนายภูมิศิษฐ์ มหาเวสน์ศิริ รองเลขาธิการ กสทช. ฟ้องประธาน กสทช. ฐานละเว้นไม่ลงนามแต่งตั้งรักษาการเลขาธิการฯ ตามมติ
กสทช. แต่ศาลชั้นต้นยกฟ้องเมื่อ 27 กุมภาพันธ์ 2567 เหตุไม่พบเจตนาพิเศษจะก่อให้เกิดความเสียหาย ขณะนี้โจทก์อยู่ระหว่างยื่นอุทธรณ์
4. คดีศาลอาญาคดีทุจริตและประพฤติมิชอบกลาง กรณีพล.อ.ท.ไตรรัตน์ วิริยะศิริกุล ในฐานะรักษาการเลขาธิการ กสทช.ฟ้องกรรมการ กสทช. 4 ราย และนายภูมิศิษฐ์ ปมเสนอคำสั่ง
แต่งตั้งคณะกรรมการสอบวินัย และกรณีร่างหนังสือแต่งตั้งรักษาการเลขาธิการ กสทช. ซึ่งศาลไต่สวนมูลฟ้องมีมูล แต่ศาลชั้นต้นยกฟ้อง 8 เมษายน 2568 เหตุหลักฐานโจทก์ไม่ชัดเจน ขณะนี้อยู่ระหว่างอุทธรณ์
5. คดีศาลอาญาคดีทุจริตและประพฤติมิชอบกลาง กรณีพล.อ.ท.ไตรรัตน์ วิริยะศิริกุล ฟ้องกรรมการ 4 ราย ไม่แต่งตั้งให้ดำรงตำแหน่งเลขาธิการ กสทช. ตามผลการคัดเลือก ศาลพิพากษายกฟ้อง 6 มิถุนายน 2568 และโจทก์อยู่ระหว่างอุทธรณ์
คดีดังกล่าวทั้ง 5 คดี ได้สะท้อนให้เห็นถึง ปมอำนาจและกระบวนการตัดสินใจภายใน กสทช. ที่ยังขาดความชัดเจนในบทบาทหน้าที่ของประธานและกรรมการ
นอกจากนี้ ยังมีคดีที่เกี่ยวกับค่าลิขสิทธิ์ฟุตบอลโลก 600 ล้านบาท คดีที่เกิดจากกรณี กสทช. เสียงข้างมากมีมติรับทราบการควบรวมระหว่างบริษัททรูและดีแทค ซึ่งศาลอาญาคดีทุจริตและประพฤติมิชอบกลางยกฟ้อง และ กรณีหนังสือเวียนผู้ถือใบอนุญาตเพื่อแจ้งให้ระมัดระวังในการอนุญาตให้นำสัญญาณช่องทีวีดิจิทัลไปเผยแพร่ใน TRUE ID ที่ไม่ได้มาขอใบอนุญาต ที่ ทรู ไอดี ฟ้อง ศ.ดร.พิรงรอง รามสูต กรรมการ กสทช. ซึ่งศาลชั้นต้นพิพากษาให้จำคุกจำเลย 2 ปี โดยไม่รอลงอาญา
แม้ กสทช. จะเผชิญความท้าทายจากคดีพิพาทและความขัดแย้งภายใน แต่ได้พยายามประคับประคองให้การดำเนินงานขององค์กรขับเคลื่อนไปได้ เช่น การประมูลคลื่น การพัฒนาแพลตฟอร์มดิจิทัล และมาตรการคุ้มครองผู้บริโภค ที่ยังคงเดินหน้าต่อไปอย่างต่อเนื่อง ซึ่ง ประธาน กสทช. ได้มีบทบาทสำคัญในหลายโครงการที่ถือเป็นผลงานเชิงประจักษ์ เช่น
การประมูลคลื่น 2600 MHz เพื่อเร่งเปิดบริการ 5G เชิงพาณิชย์ในภูมิภาคต่างๆ การผลักดันโครงการดิจิทัลอีโคโนมีเพื่อสร้างระบบนิเวศธุรกิจสตาร์ทอัพไทย รวมถึงมาตรการตรวจสอบและบล็อกคอนเทนต์ผิดกฎหมายบนแพลตฟอร์มออนไลน์ ซึ่งเป็นการทำงานร่วมกับภาคประชาสังคมเพื่อปกป้องประโยชน์สาธารณะในยุคดิจิทัล
วิทยุ โทรทัศน์ และโทรคมนาคม ได้กลายเป็นส่วนหนึ่งในชีวิตประจำวันของประชาชน ดังนั้น การปฏิบัติหน้าที่ของ กสทช. จึงต้องคำนึงถึงประโยชน์สูงสุดของประชาชน
ดร.รุจิระ บุนนาค
กรรมการผู้จัดการ
Marut Bunnag International Law Office
rujira_bunnag@yahoo.com
Twitter : @RujiraBunnag
www.naewna.com
เงื่อนไขการแสดงความคิดเห็น ซ่อน
โปรดอ่านก่อนแสดงความคิดเห็น
1.กรุณาใช้ถ้อยคำที่ สุภาพ เหมาะสม ไม่ใช้ ถ้อยคำหยาบคาย ดูหมิ่น ส่อเสียด ให้ร้ายผู้อื่น สร้างความแตกแยกในสังคม งดการใช้ถ้อยคำที่ดูหมิ่นหรือยุยงให้เกลียดชังสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์
2.หากพบข้อความที่ไม่เหมาะสม สามารถแจ้งได้ที่อีเมล์ online@naewna.com โดยทีมงานและผู้จัดทำเว็บไซด์ www.naewna.com ขอสงวนสิทธิ์ในการลบความคิดเห็นที่พิจารณาแล้วว่าไม่เหมาะสม โดยไม่ต้องชี้แจงเหตุผลใดๆ ทุกกรณี
3.ขอบเขตความรับผิดชอบของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ อยู่ที่เนื้อหาข่าวสารที่นำเสนอเท่านั้น หากมีข้อความหรือความคิดเห็นใดที่ขัดต่อข้อ 1 ถือว่าเป็นกระทำนอกเหนือเจตนาของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ และไม่เป็นเหตุอันต้องรับผิดทางกฎหมายในทุกกรณี