nn สปป.ลาว...จากที่เคยวางยุทธศาสตร์ของชาติว่าจะเป็น “แบตเตอรี่แห่งอาเซียน” ซึ่งก็ทำได้สำเร็จตามเป้าหมายไปแล้ว...จนมาวันนี้ สสป.ลาวได้ประกาศยุทธศาสตร์ชาติเพิ่มเติมอีก...นั่นก็คือ...สปป.ลาว จะกลายเป็นศูนย์กลางการเชื่อมโยง GMS (ประเทศลุ่มแม่น้ำโขง)...เพราะมีความได้เปรียบของการตั้งอยู่บนพื้นที่ที่เป็นศูนย์กลางอนุภูมิภาคลุ่มน้ำโขง สามารถเชื่อมโยงประเทศสมาชิก GMS ได้แก่ ไทย สปป.ลาว กัมพูชา เวียดนาม เมียนมาและจีนตอนใต้ ที่มีโครงการพัฒนาเส้นทางคมนาคมเชื่อมต่อกับ สปป.ลาว ทุกสาย...และเมื่อโครงการรถไฟความเร็วปานกลางลาว-จีน...ได้เปิดการเดินรถเที่ยวแรกไปแล้วเมื่อ 2 ธันวาคมที่ผ่านมา...ทำให้ สปป.ลาว ขยายขอบข่ายของการเป็นศูนย์กลางการเชื่อมโยง GMS โดยเชื่อมโยงกับ เส้นทางขนส่งสำคัญของจีนต่อเนื่องไปถึงยุโรป ซึ่งถือเป็นการเปิดประตูการค้าที่ยกระดับความเชื่อมโยงกับเศรษฐกิจโลกได้อย่างน่าจับตามอง ดังนั้น จึงไม่แปลกใจเลยที่ในเวลานี้ สปป.ลาว เป็นหนึ่งในประเทศอาเซียนที่นักลงทุนให้ความสนใจเป็นอันดับต้นและมีอัตราการขยายตัวทางเศรษฐกิจสูงกว่าประเทศอื่นๆ ในภูมิภาคเดียวกัน
เหลียวหลังกลับมาดูที่ไทยเอง...ก็ต้องยอมรับความจริงที่ว่า...ความสำเร็จของการเปิดให้บริการรถไฟความเร็วสูงลาว-จีนเป็นเครื่องสะท้อนให้เห็นความล้มเหลวของรัฐบาลไทยในการยกระดับขีดความสามารถในการแข่งขันของประเทศ เพราะไม่สามารถจะผลักดันการก่อสร้างรถไฟความเร็วสูงไทย-จีนให้สำเร็จลุล่วงได้ เพราะจนถึงขณะนี้ โครงการรถไฟความเร็วสูงไทย-จีน ในเฟสแรกเส้นทางกรุงเทพฯ-โคราช ระยะทาง 250 กม. กลับมีความคืบหน้าไปเพียง 2.7% เท่านั้น และไม่รู้จะต้องใช้เวลาอีกกี่สิบปีกว่าจะก่อสร้างแล้วเสร็จทั้งโครงการ
มีการพูดกันเล่นๆ ในกลุ่มผู้รับเหมาและที่ปรึกษาว่า หลังจากที่การรถไฟฯ ได้รับมอบขบวนรถไฟบริจาค จากเจอาร์ฮอกไกโดของญี่ปุ่นแล้ว ในอนาคตเราอาจจะได้รับบริจาคขบวนรถไฟลาว-จีนได้อีก หากการพัฒนาระบบขนส่งทางราง และรถไฟฟ้าไทยย่ำอยู่กับที่แบบนี้ และแทบไม่ต้องไปคาดหวังกับรถไฟความเร็วสูงไทย-จีนที่จะเชื่อมต่อไปยังเวียงจันทน์กันเลยว่า จะต้องใช้เวลาอีกกี่สิบปี เอาแค่การประมูลก่อสร้างรถไฟฟ้าสายสีส้ม ของการรถไฟฟ้าขนส่งมวลชนแห่งประเทศไทย (รฟม.) ในสังกัดกระทรวงคมนาคม ที่เปิดประมูลมาตั้งแต่ต้นปี 2563 ผ่านมาจะครบ 2 ปีเข้าไปแล้ววันนี้ก็ยังไม่มีความคืบหน้า หลังจากที่ รฟม.สั่งยกเลิกการประมูลโครงการเดิมไปตั้งแต่ต้นปี’64
ส่วนโครงการรถไฟฟ้า สายสีม่วงใต้ (เตาปูน-ราษฎร์บูรณะ) วงเงินกว่า 78,000 ล้านบาทที่แม้ รฟม.จะปลดล็อกเดินหน้าจัดประมูลต่อไปได้ โดยยอมกลับมาใช้เกณฑ์ประมูลด้านราคา(Price Only) หลังจากมีความพยายามจะใช้เกณฑ์คัดเลือกด้านราคา+บวกเทคนิค (Price Performance)ตามโครงการรถไฟฟ้า สายสีส้ม แต่เครือข่ายองค์กรต่อต้านคอร์รัปชั่น(ประเทศไทย) ที่เป็นผู้ร่วมสังเกตการณ์ไม่เล่นด้วย ทำให้ต้องกลับมาดำเนินการประมูลตามปกตินั้น
ล่าสุดมีรายงานสะพัดในวงการรับเหมาว่า แม้ รฟม.จะจัดประมูลโดยใช้เกณฑ์ปกติ แต่ก็ยังมีรายการหมกเม็ด กำหนดคุณสมบัติกลุ่มรับเหมาที่จะเข้าประมูล จะต้องมีผลงานก่อสร้างอุโมงค์กับภาครัฐตามที่กำหนด ซึ่งเมื่อพิจารณาตามเกณฑ์คุณสมบัติดังกล่าว ทำให้มีกลุ่มทุนรับเหมาในประเทศเพียง 3-4 รายในเมืองไทยเท่านั้น ที่มีสิทธิ์เข้าร่วมประมูล ด้วยเหตุนี้ จึงมีข่าวแพร่สะพัดในวงการรับเหมาว่า โครงการสายสีม่วงใต้ที่แยกเนื้องานประมูลออกเป็น 5 สัญญา (4+1) คงจะมีมหกรรมแบ่งเค้กเนื้องานกันไป โดยคาดว่ากลุ่มทุนรับเหมายักษ์ที่ประกอบด้วย บริษัท อิตาเลียนไทย ฯ กลุ่ม ช.การช่าง กลุ่มยูนิค และ STECON จะแบ่งกันไปคนละสัญญา
ส่วนกรณีที่ รมว.คมนาคมระบุว่า การประมูลรถไฟฟ้า สายสีส้ม อาจจะกลับไปใช้เกณฑ์พิจารณาคัดเลือกโดยอาศัยเกณฑ์ราคา Price Onlyตามมติคณะรัฐมนตรี (ครม.) นั้น แหล่งข่าวในวงการรับเหมา กล่าวว่าเป็นเครื่องสะท้อนให้เห็นว่าสิ่งที่ รฟม. และคณะกรรมการคัดเลือกดำเนินการมาในช่วง 2 ปีที่ผ่านมา เป็นการดำเนินการที่ขัดมติครม.หรือไม่ และเท่ากับโยนกลองหรือลอยแพ ฝ่ายบริหาร รฟม.และกรรมการคัดเลือก และหากจะให้ของขวัญปีใหม่แก่ประชาชน ทั้งรมว.คมนาคมและนายกฯควรจะได้ลงมาเร่งรัดการดำเนินโครงการนี้ให้สะเด็ดน้ำเสียที สิ่งที่ รฟม.และกรรมการคัดเลือกดำเนินการไปก่อนหน้าคืออะไร เป็นการตีความไปเกินขอบเขตมติ ครม.กระนั้นหรือ แล้วอย่างนี้ความเสียหายที่เกิดขึ้นจากความล่าช้าในการดำเนินโครงการไปเป็นปี จนทำให้ประเทศชาติสูญเสียโอกาสทางเศรษฐกิจ ประชาชนผู้ใช้บริการสูญเสียโอกาสในการใช้บริการและอาจทำให้ รฟม.เองต้องมีภาระรายจ่ายเพิ่มมากขึ้นในการดูแลระบบรถไฟฟ้า ในส่วนที่จะก่อสร้างแล้วเสร็จก่อนคือรถไฟฟ้าสายสีส้ม ส่วนตะวันออก(ศูนย์วัฒนธรรม-มีนบุรี) สิ่งเหล่านี้จะไม่ต้องมีผู้รับผิดชอบใดๆ เลยหรือ
เรื่องของเรื่องก็คือการที่ไทยประกาศยุทธศาสตร์ว่าจะเป็นศูนย์กลางของสารพัดสิ่งนั้น เมื่อหันมาดูผลในทางปฏิบัติ พบแต่ความล่าช้าและปัญหา ทำให้ประเทศอื่นๆ วิ่งแซงหน้าไทยไปหมดแล้ว ไม่ใช่แค่ลาววันนี้เวียดนามเองที่มาทีหลังก็วิ่งแซงหน้าไทยไปแล้วในอุตสาหกรรมรถยนต์ไฟฟ้าตอนนี้เขามีรถยนต์ประจำชาติไปแล้ว (รถยนต์ไฟฟ้า) และกำลังไปบุกตลาดรถยนต์ทั่วโลก...!! ไทยควรเลิกประกาศยุทธศาสตร์แล้วหันมาลงมือทำงานจริงๆ จังๆ กันได้แล้ว
กระบองเพชร
เงื่อนไขการแสดงความคิดเห็น ซ่อน
โปรดอ่านก่อนแสดงความคิดเห็น
1.กรุณาใช้ถ้อยคำที่ สุภาพ เหมาะสม ไม่ใช้ ถ้อยคำหยาบคาย ดูหมิ่น ส่อเสียด ให้ร้ายผู้อื่น สร้างความแตกแยกในสังคม งดการใช้ถ้อยคำที่ดูหมิ่นหรือยุยงให้เกลียดชังสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์
2.หากพบข้อความที่ไม่เหมาะสม สามารถแจ้งได้ที่อีเมล์ online@naewna.com โดยทีมงานและผู้จัดทำเว็บไซด์ www.naewna.com ขอสงวนสิทธิ์ในการลบความคิดเห็นที่พิจารณาแล้วว่าไม่เหมาะสม โดยไม่ต้องชี้แจงเหตุผลใดๆ ทุกกรณี
3.ขอบเขตความรับผิดชอบของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ อยู่ที่เนื้อหาข่าวสารที่นำเสนอเท่านั้น หากมีข้อความหรือความคิดเห็นใดที่ขัดต่อข้อ 1 ถือว่าเป็นกระทำนอกเหนือเจตนาของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ และไม่เป็นเหตุอันต้องรับผิดทางกฎหมายในทุกกรณี