ll เหตุการณ์ปั้นจั่นหอสูง และนั่งร้านคนงาน ถล่มลงมาทับแรงงานเสียชีวิต 7 ศพและบาดเจ็บอีกจำนวนหนึ่ง ซึ่งเกิดเหตุขึ้นที่โรงงานผลิตแผ่นเหล็ก เหล็กรูปพรรณ และลวดเหล็ก ของบริษัท ซิน เคอ หยวน จำกัด ตั้งอยู่ใน ต.ตาสิทธิ์ อ.ปลวกแดง จ.ระยอง นั้นเรื่องการจ่ายเงินชดเชยและเยียวยาก็คงจะจบไป หลังจากที่การเจรจากันระหว่างนายจ้างและลูกจ้างได้ข้อยุติลงแล้ว
แต่จากเรื่องนี้ก็มีอีกบางประเด็นที่น่าคิดต่อ...โดยเฉพาะประเด็นของภาพรวมอุตสาหกรรมเหล็กในประเทศไทย...ซึ่งต้องยอมรับว่าตลอด 5-10 ปีมานี้ย่ำแย่มาตลอดจากหลายๆ ปัจจัยลบที่เข้ามารุมเร้า...แต่ทำไม ณ ช่วงเวลานี้ยังมีการขยายการลงทุนของในอุตสาหกรรมเหล็ก จากนักลงทุนชาวจีนที่เข้ามาลงทุนในประเทศไทย
ข้อมูลของกรมพัฒนาธุรกิจการค้าระบุว่า ในช่วง 10 เดือนแรกของปี 2566 มีธุรกิจเหล็กปิดตัวไปแล้ว 75 ราย หรือลดลง 35% จากช่วงเดียวกันของปีก่อน
ที่ปิดตัวไปถึง 117 ราย ส่วนทุนจดทะเบียนธุรกิจที่เลิกกิจการ คิดเป็นมูลค่า 393.06 ล้านบาท และธุรกิจเหล็กที่ปิดตัวลงไปส่วนใหญ่จะเป็นผู้ผลิตรายกลางและรายเล็ก ซึ่งปัจจุบันประเทศไทยมีธุรกิจเกี่ยวกับเหล็กที่ยังคงอยู่ 4,855 ราย แต่วงการเหล็กมีการวิเคราะห์แนวโน้มของอุตสาหกรรมเหล็กว่า กำลังจะเกิดความเปลี่ยนแปลงครั้งใหญ่ในปี 2567 จากการขยายกำลังการผลิตของ “ซิน เคอ หยวน” ผู้ผลิตเหล็กสัญชาติจีน ที่เข้ามาตั้งโรงงานผลิตในประเทศไทย
“ซิน เคอ หยวน” เปิดกิจการในไทย2 แห่ง แห่งแรกคือ ซิน เคอ หยวน สตีลจดทะเบียนมาตั้งแต่ปี 2554 อยู่ที่ อ.บ้านค่ายผลิตเหล็กเส้นเป็นหลัก ด้วยทุนจดทะเบียน1,530 ล้านบาท ปัจจุบันมีสินทรัพย์รวมกว่าหมื่นล้านบาท กำไรปีล่าสุด 2565 อยู่ที่ 791 ล้านบาท
ส่วนแห่งที่ 2 คือ ซิน เคอ หยวน จำกัด ทุนจดทะเบียน 6,000 ล้านบาท ผลิตเหล็กแผ่นรีดร้อนเป็นหลัก จำกัด ตั้งอยู่ใน ต.ตาสิทธิ์ อ.ปลวกแดง จ.ระยอง ก่อตั้งโครงการตั้งแต่ปี 2563 ขณะนี้กำลังขยายโครงการออกไปอีกโดยกำลังก่อสร้างอาคาร 6 หลัง เพื่อขึ้นไลน์ผลิตต่างๆ ซึ่งเป็นการเพื่อนำเหล็กรีดร้อนที่ได้ มาผลิตเป็นเหล็กท่อ เหล็กเส้น เหล็กรีดเย็น เหล็กเคลือบทรงแบน ที่ใช้อุตสาหกรรมอื่น เช่น เครื่องใช้ไฟฟ้า อุตสาหกรรมรถยนต์ อุตสาหกรรมอิเล็กทรอนิกส์ และอื่นที่ต้องใช้เหล็กเป็นส่วนประกอบ ฯลฯ
ต้องยอมรับก่อนหน้านี้ว่าทางการไทยมีมาตรการไม่ตั้ง ไม่ขยายโรงงานเหล็ก หลังมีข้อเรียกร้องจากอุตสาหกรรมที่ต้องการปกป้องกิจการในประเทศตั้งแต่ปี 2563 แต่ ซิน เคอ หยวน จดทะเบียนก่อนมาตรการมีผลบังคับใช้ จึงสามารถขยายโรงงาน และกิจการเพิ่มเติมได้อย่างต่อเนื่อง และ ซิน เคอ หยวน สามารถเข้ามาครองส่วนแบ่งการตลาดสูงสุด ด้วยโมเดลธุรกิจ ที่นำโดยนายทุนจีน มีการนำเข้าเครื่องจักรโดยไม่เสียภาษีจากมาตรการส่งเสริมการลงทุนของบีโอไอ และใช้แรงงานข้ามชาติเกือบทั้งหมด ต่างจากบริษัทเหล็กไทยที่ใช้แรงงานส่วนใหญ่เป็นคนไทย และการนำเข้าเครื่องจักรระยะหลังต้องเสียภาษีเพราะหมดมาตรการบีโอไอมาแล้วอีกประเด็นหนึ่งที่คงต้องพูดถึงในเรื่องความได้เปรียบของ “ซิน เคอ หยวน” ที่มีต่ออุตสาหกรรมเหล็กของไทย นั่นก็คือผลิตด้วยเตาหลอมแบบ IF (ซึ่งเป็นเทคโนโลยีเก่าที่รัฐบาลจีนสั่งปิดไปแล้วในจีน แต่สนับสนุนเคลื่อนย้ายออกมาด้วยมาตรการสนับสนุนหลายด้าน)ซึ่งเตาหลอมแบบนี้ สร้างมลพิษทางอากาศสูง ใช้พลังงานสูง แต่รวมๆ แล้วก็ยังมีต้นทุนถูกกว่า เตาหลอมแบบ EAFที่ผู้ผลิตของไทยใช้อยู่
การที่ “ซิน เคอ หยวน” กำลังขยายไลน์การผลิต “เหล็กแผ่นรีดร้อน” ซึ่งว่ากันว่ากำลังการผลิตจะอยู่ 5.6 ล้านตันต่อปี ขณะที่ บริษัทสหวิริยา (SSI) ผลิตเหล็กรีดร้อน รายใหญ่ที่สุดของไทยณ ตอนนี้ มีกำลังการผลิต 4 ล้านตันต่อปีบริษัท G Steel มีกำลังการผลิต 3 ล้านตันต่อปี...แค่ 2 รายเดิม คือ SSI กับ G Steelกำลังการผลิตก็ล้นตลาดอยู่แล้วตอนนี้ และหากเพิ่มขึ้นอีก 5 ล้านกว่าตันกว่า...จะอยู่กันยังไงต่อได้เล่าครับพี่น้อง...เว้นเสียแต่ว่าจะหาทางระบายสต๊อกเข้าสู่โครงการก่อสร้างของภาครัฐได้ แม้ว่าจะเป็นเหล็กที่มาจากทุนจีนแต่เมื่อเป็นโรงงานที่ตั้งในไทยก็ไม่ผิดเงื่อนไข และเมื่อเกณฑ์สำคัญของการประมูลงานภาครัฐคือ“ราคาต่ำสุด”...ก็สบายพุงไปเลยทีนี้เพราะต้นทุน “เหล็กทุนจีนผลิตในไทย”...ยังไงก็ต่ำกว่า “เหล็กไทยสัญชาติไทย”
กระบองเพชร
เงื่อนไขการแสดงความคิดเห็น ซ่อน
โปรดอ่านก่อนแสดงความคิดเห็น
1.กรุณาใช้ถ้อยคำที่ สุภาพ เหมาะสม ไม่ใช้ ถ้อยคำหยาบคาย ดูหมิ่น ส่อเสียด ให้ร้ายผู้อื่น สร้างความแตกแยกในสังคม งดการใช้ถ้อยคำที่ดูหมิ่นหรือยุยงให้เกลียดชังสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์
2.หากพบข้อความที่ไม่เหมาะสม สามารถแจ้งได้ที่อีเมล์ online@naewna.com โดยทีมงานและผู้จัดทำเว็บไซด์ www.naewna.com ขอสงวนสิทธิ์ในการลบความคิดเห็นที่พิจารณาแล้วว่าไม่เหมาะสม โดยไม่ต้องชี้แจงเหตุผลใดๆ ทุกกรณี
3.ขอบเขตความรับผิดชอบของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ อยู่ที่เนื้อหาข่าวสารที่นำเสนอเท่านั้น หากมีข้อความหรือความคิดเห็นใดที่ขัดต่อข้อ 1 ถือว่าเป็นกระทำนอกเหนือเจตนาของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ และไม่เป็นเหตุอันต้องรับผิดทางกฎหมายในทุกกรณี