วันพฤหัสบดี ที่ 6 พฤศจิกายน พ.ศ. 2568
nn สำนักงานเศรษฐกิจการคลัง (สศค.) กระทรวงการคลัง...ได้ปรับลดประมาณการ การขยายตัวของผลิตภัณฑ์มวลรวมในประเทศ(GDP) ไทยปี 2567 ลงเหลือขยายตัว 2.4% (ช่วงคาดการณ์ที่ 1.9-2.9%) จากประมาณการเมื่อเดือนมกราคมที่ 2.8% ซึ่งถือว่ามีแนวโน้มที่จะรั้งท้ายเพื่อนบ้านในอาเซียน และปัจจัยที่ทำให้ สศค. ต้องปรับลดประมาณการเศรษฐกิจลงมาจาก การส่งออกสินค้าที่หดตัวมากกว่าที่คาดการณ์โดยเฉพาะสินค้าอุตสาหกรรมในไตรมาสที่ 1 ของปี 2567 โดยตัวเลขทั้งปีน่าจะขยายตัวได้เพียง 1.8-2% จากเดิมที่คาดว่าจะขยายตัวได้ประมาณ 4-5% ซึ่งการส่งออกที่ลดลงยังส่งผลต่อการผลิตภาคอุตสาหกรรมยังคงหดตัว ซึ่งสะท้อนจากดัชนีผลผลิตอุตสาหกรรม (Manufacturing Production Index : MPI) โดยเฉพาะสินค้าในหมวดยานยนต์และหมวดชิ้นส่วนและแผงวงจร ในไตรมาสที่ 1 ของปี 2567 ขณะที่ผลผลิตภาคการเกษตรได้รับผลกระทบจากภัยแล้งและปรากฏการณ์เอลนีโญ ทำให้เกิดภาวะฝนแล้ง และฝนทิ้งช่วงเป็นเวลานาน ส่วนภาคการคลังก็มีเม็ดเงินออกมาน้อย เพราะยังคงใช้การเบิกจ่ายตามงบประมาณตามปี 2566 ไปพลางก่อน
ทั้งนี้ อัตราขยายตัวที่ 2.4% สศค.มองว่าสูงขึ้นจากปี 2566 ที่ขยายตัว 1.9% โดย สศค.คาดว่ายังได้รับแรงสนับสนุนจากภาคการท่องเที่ยวที่ขยายตัวต่อเนื่องเป็นสำคัญ รวมถึงบทบาทสนับสนุนของนโยบายการคลังในช่วงที่เหลือของปีนี้ โดย สศค. คาดว่าจำนวนนักท่องเที่ยวชาวต่างประเทศที่เดินทางเข้ามาในประเทศไทยจะอยู่ที่35.7 ล้านคน เพิ่มขึ้น 26.7% ต่อปี นับว่ายังไม่กลับไปสู่ระดับก่อนเกิดการระบาดของโควิดเมื่อปี 2562 ที่ 39.9 ล้านคน
อย่างไรก็ตาม ตัวเลขประมาณการล่าสุดนี้ยังไม่รวมมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจผ่านภาคอสังหาริมทรัพย์ ที่คณะรัฐมนตรีมีมติเห็นชอบไปเมื่อต้นเดือนเมษายนที่ผ่านมา ซึ่งรัฐบาลคาดว่าจะช่วยทำให้ผลิตภัณฑ์มวลรวมภายในประเทศ (GDP) ขยายตัวได้ 1.7-1.8% และเหตุที่ยังไม่รวมมาตรการกระตุ้นอสังหาริมทรัพย์เข้าไป เนื่องจากต้องการใช้ข้อมูลที่เป็นปัจจุบันหรือข้อมูลที่เกิดขึ้นจริงแล้ว นอกจากนี้ประมาณการล่าสุดก็ยังไม่รวมเม็ดเงินจากโครงการเติมเงิน10,000 บาท ผ่านดิจิทัล วอลเล็ต ด้วย โดย สศค. คาดว่า หากสามารถเริ่มมีการใช้จ่ายภายในไตรมาสที่ 4 ปี 2567 จะช่วยเพิ่มกำลังซื้อและสนับสนุนให้เศรษฐกิจไทยในปี 2567 ขยายตัวได้เพิ่มขึ้นที่ 3.3% ต่อปี (กรณีประชาชนใช้จ่ายเม็ดเงินส่วนใหญ่ภายในสิ้นปี 2567)
นอกจากนี้ สศค.ยังระบุอีกว่าประมาณการGDP มีความไม่แน่นอนสูง เพราะต้องติดตามปัจจัยที่จะส่งผลกระทบต่อเศรษฐกิจไทยอย่างใกล้ชิด เช่น ความขัดแย้งทางภูมิรัฐศาสตร์โลกในภูมิภาคต่างๆ ที่เริ่มรุนแรงมากขึ้น อาจเป็นข้อจำกัดและส่งผลกระทบต่อการเติบโตของเศรษฐกิจไทยในระยะถัดไป เช่น สถานการณ์ความตึงเครียดระหว่างอิสราเอลและอิหร่านที่อาจส่งผลกระทบต่อราคาพลังงานให้ปรับตัวสูงขึ้น หรือการแข่งขันเชิงยุทธศาสตร์ระหว่างจีนและสหรัฐฯ ความผันผวนของตลาดการเงินโลกจากการดำเนินนโยบายการเงินที่เข้มงวดของประเทศคู่ค้าหลักและปัญหาสถาบันการเงินในต่างประเทศ โดยเฉพาะประเทศสหรัฐอเมริกาและสหภาพยุโรป
ก่อนหน้านี้มีผู้เชี่ยวชาญหลายภาคส่วนเรียกร้องว่า ท่ามกลางเศรษฐกิจที่อ่อนแรง จึงอยากจะเห็นมาตรการทางการคลังที่มีผล(Effective) รวดเร็วกว่านโยบายการเงินที่กว่าจะเห็นผลก็อย่างน้อย 6 เดือน ซึ่งทาง สศค.ก็ได้ชี้แจงว่าทางกระทรวงการคลังจะเร่งรัดการเบิกจ่ายงบประมาณปี 2567 นอกจากนี้ปัจจุบันก็ยังมีมาตรการทางการคลังอื่นๆ เช่น ทางภาษีและการลดหย่อนภาษีหลายมาตรการที่ยังมีผลบังคับใช้อยู่ อย่างไรก็ตาม ยังไม่มีมาตรการใหม่อื่นๆ ยกเว้น “ดิจิทัล วอลเล็ต” ที่คาดว่าจะช่วยเพิ่มกำลังซื้อและหนุน GDP ให้เพิ่มขึ้นที่ 3.3% ต่อปี และ สศค.ก็ยังย้ำอีกว่า “กระสุนการคลังมีอยู่เท่านี้ และหากใช้มาตรการภาษีเพิ่มเติม มากกว่านี้ ก็จะไปส่งผลต่อการจัดเก็บรายได้ด้วย
“คาดว่าในครึ่งหลังของปี คณะกรรมการนโยบายการเงิน (กนง.) จะมีการปรับลดอัตราดอกเบี้ยนโยบายลงอย่างน้อย 0.25% ในช่วงครึ่งหลังของปีนี้ เนื่องจาก
ปัจจุบันธนาคารพาณิชย์และธนาคารเฉพาะกิจของรัฐได้ทยอยปรับลดดอกเบี้ย MRR ลงไปแล้ว นอกจากนี้ตัวเลขเศรษฐกิจต่างๆโดยเฉพาะในภาคส่งออกและภาคอุตสาหกรรมมีการเปลี่ยนแปลงอย่างมีนัยสำคัญ จะช่วยเป็นหลักฐานให้ กนง. ประกอบการตัดสินใจ”พรชัย ฐีระเวช ผู้อำนวยการสำนักงานเศรษฐกิจการคลัง (สศค.) กล่าว
ดูเหมือนคำกล่าวทิ้งท้ายของ ผอ.สศค.จะเป็นแรงกดดันเล็กๆ ที่ส่งจากกระทรวงการคลังไปถึงธนาคารแห่งประเทศไทย (ธปท.)ขณะเดียวกันท่าทีของ ธปท.ล่าสุด จากคำให้สัมภาษณ์ของ คุณเศรษฐพุฒิ สุทธิวาทนฤพุฒิ ผู้ว่าการธนาคารแห่งประเทศไทย (ธปท.) ที่ได้ให้สัมภาษณ์ในรายการ “Street Signs Asia” ของสำนักข่าว CNBC เมื่อวันที่ 29 เม.ย. ที่ผ่านมา...ดูเหมือนว่า ธปท.ก็ยังให้ความสำคัญกับปัญหาเชิงโครงสร้างของเศรษฐกิจไทยเป็นหลักโดยเขาได้กล่าวไว้ในตอนหนึ่งว่า อัตราดอกเบี้ยในปัจจุบันเป็นระดับที่สนับสนุนการฟื้นตัวทางเศรษฐกิจแล้ว และสอดคล้องกับความพยายามที่จะปรับลดอัตราดอกเบี้ยอย่างค่อยเป็นค่อยไป โดยต้องรักษาสมดุลไม่เพิ่มภาระให้ครัวเรือนมากจนเกินไป แต่ขณะเดียวกันก็ต้องพยายามไม่ให้ประชาชนก่อหนี้ใหม่มากจนเกินไปด้วย โดย ธปท. ประเมินว่าปีนี้เศรษฐกิจไทยจะขยายตัวประมาณ 2.6% และปีหน้าขยายตัวได้ 3.0% โดยยังคงได้แรงหนุนสำคัญจากการบริโภคภาคเอกชนและการท่องเที่ยว และแม้ว่าอัตราเงินเฟ้อจะอ่อนแรงในช่วงไม่กี่เดือนมานี้ แต่มองว่าอัตราเงินเฟ้อจะค่อยๆ ปรับตัวขึ้นและกลับเข้าสู่กรอบเป้าหมายที่คาดการณ์ไว้ระหว่าง 1-3% ภายในสิ้นปีนี้ และอยากให้เน้นการลงทุนของภาครัฐให้มากขึ้น มากกว่ามาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจในระยะสั้น
“ปัญหาเชิงโครงสร้างทำให้แนวโน้มเศรษฐกิจไทยยังมีความไม่แน่นอน โดยจำเป็นต้องมีการเพิ่มผลิตภาพในขณะที่ประเทศกำลังก้าวเข้าสู่สังคมผู้สูงวัยและประชากรวัยทำงานหดตัวลง ขณะเดียวกันก็ควรจะต้องลดและผ่อนคลายกฎระเบียบ ซึ่งรวมถึงเรื่องความยากง่ายในการประกอบธุรกิจด้วย”คุณเศรษฐพุฒิ กล่าว
กระบองเพชร

ธรรมนัส สั่งปราบปรามการลักลอบนำเข้าไข่ไก่ แก้ปัญหาราคาไข่ไก่ตกต่ำ
‘อุ้ม-ตัง-มุ้ย’มาแล้ว!‘จู๊ดเบลล์’ประเดิมช้างศึกแบโผแข้งชี้ชะตาเอเชียนคัพ
นายกฯลั่นไม่มีใครใหญ่กว่า 'บิ๊กต่าย' แถมมี 'สมอลหนู' คอยดู ท้าผู้หวังดีบอกชื่อจริง อย่าเผยแค่ตัวย่อ
‘สหมงคลฟิล์มฯ’ คอนเฟิร์ม ‘เสือ’ ได้ไปต่อ!ขยาย ‘จักรวาลเสือ’
ศาลเลื่อนอ่านอุทธรณ์ ไปปีหน้า คดีหวย ‘หงษ์ทอง’ ขายเกินราคา เหตุจำเลยยังไม่ทราบนัด

เงื่อนไขการแสดงความคิดเห็น ซ่อน
โปรดอ่านก่อนแสดงความคิดเห็น
1.กรุณาใช้ถ้อยคำที่ สุภาพ เหมาะสม ไม่ใช้ ถ้อยคำหยาบคาย ดูหมิ่น ส่อเสียด ให้ร้ายผู้อื่น สร้างความแตกแยกในสังคม งดการใช้ถ้อยคำที่ดูหมิ่นหรือยุยงให้เกลียดชังสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์
2.หากพบข้อความที่ไม่เหมาะสม สามารถแจ้งได้ที่อีเมล์ online@naewna.com โดยทีมงานและผู้จัดทำเว็บไซด์ www.naewna.com ขอสงวนสิทธิ์ในการลบความคิดเห็นที่พิจารณาแล้วว่าไม่เหมาะสม โดยไม่ต้องชี้แจงเหตุผลใดๆ ทุกกรณี
3.ขอบเขตความรับผิดชอบของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ อยู่ที่เนื้อหาข่าวสารที่นำเสนอเท่านั้น หากมีข้อความหรือความคิดเห็นใดที่ขัดต่อข้อ 1 ถือว่าเป็นกระทำนอกเหนือเจตนาของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ และไม่เป็นเหตุอันต้องรับผิดทางกฎหมายในทุกกรณี