คริปโตเคอร์เรนซี (Cryptocurrency) คือ สินทรัพย์ดิจิทัล ที่ต้องอาศัยการเข้ารหัส โดยคำว่า “Crypto” หมายถึง การเข้ารหัส ส่วนคำว่า “Currency” คือ สกุลเงิน
คริปโตเคอร์เรนซี นิยมเรียกกันว่า เงินดิจิทัล ที่มีความพิเศษ คือ จะไม่ผ่านธนาคารกลาง การแลกเปลี่ยนจะถูกจัดเก็บไปในบล็อกเชน (Block Chain) ที่ข้อมูลไม่จำต้องถูกควบคุมโดยส่วนกลาง มีการคาดการณ์ว่าในอนาคตเงินดิจิทัล จะเข้ามามีบทบาทในการซื้อขายแลกเปลี่ยนสินค้าและบริการระหว่างสินทรัพย์ดิจิทัลด้วยกัน โดยมีบิตคอยน์หรือเหรียญบิตคอยน์ (Bitcoin)ที่เป็นเงินดิจิทัลสกุลแรก
การลงทุนในสกุลเงินดิจิทัลได้รับความนิยมอย่างมาก โดยเฉพาะในประเทศที่ประชาชนไม่เชื่อมั่นต่อการบริหารจัดการเงินของรัฐบาล และประเทศที่ไม่นิยมใช้เงินสด
การได้มาของบิตคอยน์ มีวิธีอยู่หลักๆ 2 แบบ คือ (1) การขุดโดยใช้เครื่องคอมพิวเตอร์ขุด ยิ่งหากเครื่องคอมพิวเตอร์มีศักยภาพสูง ยิ่งจะได้เหรียญในปริมาณที่มาก ต้นทุนวิธีนี้ ที่เห็นได้ชัด คือ ค่าเครื่องคอมพิวเตอร์ ค่าไฟฟ้า (2) การเทรดบิตคอยน์ เป็นการซื้อขายที่ต้องฝากเงินเข้าไปไว้ในกระเป๋าเงินดิจิทัลเพื่อเทรด เช่นเดียวกับการเล่นหุ้น สามารถสมัครได้ตามเว็บเทรดที่ให้บริการทั่วไป ปัจจุบันมีอยู่มีหลายแห่ง ที่บางแห่ง คณะกรรมการกำกับหลักทรัพย์และตลาดหลักทรัพย์ (ก.ล.ต.) รับรอง
ในเวลานี้สกุลเงินดิจิทัลไม่ได้มีแต่แฉพาะบิตคอยน์ยังมีอีกหลายสกุล เช่น Ethereum (ETH), Binance Coin (BNB), Tether (USDT), Litecoin (LTC), Dogecoin (DOGE), Polkadot (DOT) Solana (SOL), Terra (LUNA)
ปัจจุบันการลงทุนในคริปโตฯได้รับความนิยมเป็นอย่างมากจากผู้ที่สนใจในทรัพย์สินดิจิทัล มูลค่าตลาดคริปโตฯ ในปีพ.ศ. 2564 จาก coinmarketcap เว็บไซต์ที่ทำการรวบรวมข้อมูลเกี่ยวกับสกุลเงินดิจิทัลไว้อย่างหลากหลาย ทั้งเรื่องของภาพรวมในตลาด ราคาของแต่ละเหรียญที่มีความน่าเชื่อถือในระดับต้นๆ ของโลก ได้ให้ข้อมูล คือ ต้นปี (1 มกราคม พ.ศ. 2564) มีมูลค่าตลาดที่ 760,813,374,590 ดอลลาร์ หรือประมาณ 25 ล้านล้านบาทสิ้นปี (31 ธันวาคม พ.ศ.2564) มีมูลค่าตลาดที่ 2,233,586,799,113ดอลลาร์ หรือประมาณ 74 ล้านล้านบาท
ทำระดับสูงสุดที่ 2,971,638,073,102 ดอลลาร์ หรือประมาณ 98 ล้านล้านบาท เมื่อวันที่ 10 พฤศจิกายน พ.ศ. 2564 ในภาพรวมปีพ.ศ. 2564 มูลค่าตลาดคริปโตฯ สามารถเติบโตได้ประมาณร้อยละ 193
โดยเหรียญที่ได้รับความนิยม 3 อันดับแรก ณ วันที่ 26 ธันวาคม พ.ศ. 2564 คือ Bitcoin, Ethereum และ Binance Coin
ในประเทศไทยจากรายงานของศูนย์วิจัยกสิกรไทย เดือนธันวาคม พ.ศ. 2564 เปิดเผยว่า จำนวนบัญชีซื้อขายสินทรัพย์ดิจิทัลในไทยทั้งหมดกว่า 1.4 ล้านบัญชี น้อยกว่าบัญชีซื้อขายในตลาดหลักทรัพย์ ประมาณ 2.1 เท่าอย่างไรก็ตาม มีอัตราการขยายตัวสูงอยู่ที่ร้อยละ 27.6 ต่อเดือนขณะที่บัญชีซื้อขายในตลาดหลักทรัพย์มีอัตราการเติบโตเพียงร้อยละ 2.9% ตัวเลขนี้ สะท้อนให้เห็นถึงความนิยมลงทุนในตลาดคริปโตฯ
เมื่อต้นปีพ.ศ.2565 กรมสรรพากรได้อาศัยอำนาจตามพระราชกําหนดการประกอบธุรกิจสินทรัพย์ดิจิทัล พ.ศ. 2561 ที่มีเนื้อหาสำคัญว่า สินทรัพย์ดิจิทัลหากมีกำไรหรือมีผลตอบแทนที่ได้จากการลงทุนจะต้องเสียภาษีหัก ณ ที่จ่าย ร้อยละ 15 ของกำไร และบุคคลที่มีเงินได้จากการซื้อขายคริปโตฯ จะต้องยื่นแบบแสดงการเสียภาษีเงินได้บุคคลธรรมดา โดย พระราชกําหนดแก้ไขเพิ่มเติมประมวลรัษฎากร (ฉบับที่ 19) พ.ศ. 2561 ซึ่งกรมสรรพากรจะประกาศเรียกเก็บภาษีคริปโตฯ ตั้งแต่เดือนมีนาคมพ.ศ. 2565 เป็นต้นไป ไม่เพียงแค่ภาษีจากการซื้อขายคริปโตฯกรมสรรพกรยังจะจัดเก็บ NFT (Non-Fungible Token) และอื่นๆ อีกด้วย
ภาษีนี้เรียกกันว่า “ภาษีคริปโต” การคิดคำนวณและจัดเก็บภาษีนั้น เป็นการคำนวณจากฐานของภาษีเงินได้ ในการนำไปซื้อขายหรือทำธุรกรรมคริปโตเคอร์เรนซีในทุกรายการ (transactions) ที่มีกำไรเป็นเงินสด
เช่น นักลงทุนขาย Bitcoin ได้กำไร 150,000 บาทหักภาษี ณ ที่จ่าย 15% = 22,500 บาท จะเหลือกำไรที่ได้รับ 127,000 บาท หรือ
ในกรณีที่นักลงทุนทำการแลกเปลี่ยนบนแพลตฟอร์มแลกเปลี่ยน 10 รายการในปีนั้น โดยขายเหรียญได้กำไรเป็นเงินสด 5 รายการ รวม 2 แสนบาท แต่อีก 5 รายการ ขายเหรียญแล้วขาดทุน 5 แสนบาท รวมทั้งปีนักลงทุนขาดทุนจากการแลกเปลี่ยนรวม 3 แสนบาท ภาษีร้อยละ 15 นั้น จะต้องระบุเงินได้เพื่อเสียภาษีจากกำไร 2 แสนบาทอยู่ดีแม้ยอดรวมทั้งปีจะขาดทุน
หรือแม้นักลงทุน จะยังไม่ได้ถอนเงินบาทออกมาจากกระดานเทรดบนแพลตฟอร์มการซื้อขายสินทรัพย์ดิจิทัลยังต้องเอามาคำนวณเพื่อเสียภาษี เนื่องจากสรรพากรถือว่าการซื้อขายและกำไรเกิดขึ้นแล้ว
การบังคับใช้กฎหมายนี้ คงมีนักลงทุนไม่เห็นด้วยเพราะหากเก็บภาษีอาจทำให้มีคนลงทุนกับบริษัทที่ก.ล.ต.รับรองน้อยลง และอาจหันไปลงทุนกับประเทศที่ไม่มีการเรียกเก็บภาษีจากเงินสกุลดิจิทัลแทน ทั้งยังเกิดความกังวลว่า วิธีการในการจัดเก็บจะชัดเจนหรือไม่ การบริหารจัดการเก็บมีความยุติธรรมหรือไม่ มีระบบและเครื่องมือที่สามารถตรวจได้อย่างมีประสิทธิภาพแค่ไหนในทางปฏิบัติ
ผู้ที่เห็นด้วย อาจมีความเห็นว่า นักลงทุนในสินทรัพย์ดิจิทัล ส่วนมากจะเป็นผู้มีกำลังทรัพย์มาก การให้นักลงทุนกลุ่มนี้ ต้องเสียภาษีถือว่าเป็นเรื่องสมควร เพราะลำพังมนุษย์เงินเดือน ที่เป็นบุคคลธรรมดาส่วนใหญ่ไม่ได้ลงทุนกับสินทรัพย์ดิจิทัล
บางประเทศที่ไม่เรียกเก็บภาษีจากคริปโตฯ เช่น มาเลเซีย เพราะมองว่าเงินสกุลดิจิทัล ไม่ถือว่าเป็นสินทรัพย์หรือธุรกรรมที่ถูกกฎหมาย มาเลเซียจึงไม่เก็บภาษีสำหรับบุคคลธรรมดา คงเก็บภาษีนี้ เฉพาะนิติบุคคล สิงคโปร์ กรมจัดเก็บภาษีของประเทศสิงคโปร์ กำหนดว่าบุคคลและธุรกิจที่ถือสินทรัพย์คริปโตฯสำหรับการลงทุนระยะยาวนั้น ไม่ต้องจ่ายภาษีกำไรจากการซื้อขายคริปโตฯ แต่จะเรียกเก็บเฉพาะการถือในระยะสั้น เกาหลีใต้ ในปีพ.ศ. 2566 จะเก็บภาษีคริปโตฯ ในอัตราร้อยละ 20 แต่จะยกเว้นภาษีจากกำไรส่วนแรกที่ไม่เกิน 2.5 ล้านวอน
เรื่องนี้ถือเป็นเรื่องใหม่ ที่ต้องติดตามดูต่อไปว่า กรมสรรพากรจะบริหารการจัดเก็บภาษีคริปโตฯ ได้อย่างมีประสิทธิภาพเพียงใด
เงื่อนไขการแสดงความคิดเห็น ซ่อน
โปรดอ่านก่อนแสดงความคิดเห็น
1.กรุณาใช้ถ้อยคำที่ สุภาพ เหมาะสม ไม่ใช้ ถ้อยคำหยาบคาย ดูหมิ่น ส่อเสียด ให้ร้ายผู้อื่น สร้างความแตกแยกในสังคม งดการใช้ถ้อยคำที่ดูหมิ่นหรือยุยงให้เกลียดชังสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์
2.หากพบข้อความที่ไม่เหมาะสม สามารถแจ้งได้ที่อีเมล์ online@naewna.com โดยทีมงานและผู้จัดทำเว็บไซด์ www.naewna.com ขอสงวนสิทธิ์ในการลบความคิดเห็นที่พิจารณาแล้วว่าไม่เหมาะสม โดยไม่ต้องชี้แจงเหตุผลใดๆ ทุกกรณี
3.ขอบเขตความรับผิดชอบของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ อยู่ที่เนื้อหาข่าวสารที่นำเสนอเท่านั้น หากมีข้อความหรือความคิดเห็นใดที่ขัดต่อข้อ 1 ถือว่าเป็นกระทำนอกเหนือเจตนาของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ และไม่เป็นเหตุอันต้องรับผิดทางกฎหมายในทุกกรณี