อุบัติเหตุจาก “การเมาแล้วขับ” เป็นปัญหาใหญ่ของประเทศไทย โดยเฉพาะในช่วงเทศกาลวันหยุดยาวประจำปี เพียงแค่ 6 วัน ของเทศกาลสงกรานต์ ในระหว่าง 11-16 เมษายน 2568 ที่ผ่านมา มีสถิติคดีขับรถขณะเมาสุราจำนวนถึง 5,228 คดี เป็นสาเหตุให้มีผู้บาดเจ็บ และเสียชีวิตเป็นจำนวนมาก
ปริมาณแอลกอฮอล์ในเลือด ของผู้ขับขี่รถยนต์ ที่ถือว่ามีความผิดตามกฎหมาย
ผู้มีอายุต่ำกว่า 20 ปี ที่ได้รับใบขับขี่ชั่วคราว หรือไม่มีใบขับขี่ หรือถูกเพิกถอนใบขับขี่ หรือมีใบขับขี่รถประเภทอื่นใช้แทนกันไม่ได้ มีปริมาณแอลกอฮอล์ในเลือดเกิน 20 มิลลิกรัมเปอร์เซ็นต์
ผู้มีใบขับขี่ตลอดชีพ หรือใบขับขี่ 5 ปี และอายุเกิน 20 ปี มีปริมาณแอลกอฮอล์ในเลือดเกิน 50 มิลลิกรัมเปอร์เซ็นต์
โทษเมาแล้วขับ ตามพระราชบัญญัติจราจรทางบกพ.ศ. 2522 มีสาระสำคัญ ดังนี้
กระทำความผิดครั้งแรกจำคุกไม่เกิน 1 ปี หรือปรับ 5,000- 20,000 บาท หรือทั้งจำทั้งปรับ ถูกสั่งพักใบขับขี่ไม่น้อยกว่า 6 เดือน หรือถูกเพิกถอนใบขับขี่
กระทำความผิดซ้ำภายใน 2 ปี จำคุกไม่เกิน 2 ปี และปรับ 50,000-100,000 บาท ถูกสั่งพักใบขับขี่ไม่น้อยกว่า 1 ปี หรือถูกเพิกถอนใบขับขี่
กระทำผิดเป็นเหตุให้ผู้อื่นได้รับอันตรายแก่ร่างกายและจิตใจ จำคุก 1-5 ปี และปรับ 20,000-100,000 บาท ถูกสั่งพักใบขับขี่ไม่น้อยกว่า 1 ปี หรือถูกเพิกถอนใบขับขี่
กระทำผิดเป็นเหตุให้ผู้อื่นได้รับอันตรายสาหัส จำคุก 2-6 ปี และปรับ 40,000-120,000 บาท ถูกสั่งพักใบขับขี่ 2 ปี หรือถูกเพิกถอนใบขับขี่
กระทำความผิดเป็นเหตุให้ผู้อื่นถึงแก่ความตาย จำคุก 3-10 ปี และปรับ 60,000-200,000 บาท และถูกเพิกถอนใบขับขี่
หากผู้ขับขี่ไม่ยอมเป่าแอลกอฮอล์ จะถือว่าเมาแล้วขับ จำคุกไม่เกิน 1 ปี ปรับสูงสุด 20,000 บาท และถูกพักใบขับขี่ 6 เดือน หรือถูกเพิกถอนใบขับขี่
ในประเด็นเมาแล้วขับ เป็นเหตุให้ผู้อื่นถึงแก่ความตาย ได้มีนักวิชาการแสดงความคิดเห็นว่า ผู้ที่เมาแล้วขับ ทั้งที่รู้ตัวว่าดื่มเครื่องดื่มแอลกอฮอล์มากเกินไป แล้วยังฝืนขับขี่รถยนต์จนเป็นเหตุให้คนอื่นถึงแก่ความตาย ถือได้ว่า มีความผิดฐาน ฆ่าผู้อื่นตายโดยเจตนา เพราะย่อมเล็งเห็นได้ว่าการกระทำดังกล่าวของตน อาจเป็นเหตุให้ผู้อื่นถึงแก่ความตายได้
ความผิดฐานฆ่าผู้อื่นตายโดยเจตนา โทษ ประหารชีวิต จำคุกตลอดชีวิต หรือจำคุก 15-20 ปี ซึ่งเป็นโทษที่หนักกว่าความผิดฐานเมาแล้วขับเป็นเหตุให้ผู้อื่นถึงแก่ความตายมาก
ที่ผ่านมาในกรณีดังกล่าว ศาลพิพากษาลงโทษจำคุกฐาน เมาแล้วขับเป็นเหตุให้ผู้อื่นถึงแก่ความตาย แต่เพียงอย่างเดียว โดยไม่ลงโทษในความผิดฐานฆ่าผู้อื่นตายโดยเจตนา
ล่าสุด สำนักงานอัยการสูงสุด ได้มีหนังสือที่ อส 0007(ปผ) / ว 197 ลงวันที่ 9 มิถุนายน 2568 เรื่อง แนวทางปฏิบัติในการดำเนินคดีกับผู้ขับรถขณะเมาสุราแล้วทำให้เกิดอันตรายต่อชีวิต ร่างกาย กำหนดมาตรการ “การริบพาหนะของผู้กระทำผิด” ในลักษณะแนวทางปฏิบัตินำร่อง เพื่อป้องปราม มิให้ผู้ขับขี่มีพฤติกรรมเมาขณะขับขี่ด้วยนิสัยขาดความรับผิดชอบต่อสังคม สร้างความเดือดร้อนต่อสังคมเป็นคดีความ
ในทางปฏิบัติ หากพิจารณาแล้วเห็นว่า การกระทำเป็นผิดและยังไม่ได้มีการแจ้งข้อหาดังกล่าวกับผู้เมาแล้วขับ ให้พนักงานอัยการมีอำนาจสั่งให้พนักงานสอบสวนแจ้งข้อหาเพิ่มเติมแก่ผู้ต้องหาและในการฟ้องคดี ให้พนักงานอัยการขอให้ศาลพิจารณามีคำสั่งริบรถ(หรือพาหนะ)ของกลางในสำนวนคดีด้วย
โดยถือว่า รถหรือยานพาหนะที่ผู้ต้องหาใช้ในการก่อให้เกิดความเสียหายต่อชีวิตและทรัพย์สินของผู้เสียหาย เป็น “ทรัพย์สินที่ใช้ในการกระทำความผิด”หรือ “ของกลาง” ที่อาจถูกยึดหรืออายัดไว้ในกระบวนการสืบสวนสอบสวน ตลอดจนกระบวนการพิจารณาคดีของศาลได้
เมื่อศาลพิพากษาว่า จำเลยผู้กระทำผิดมีความผิดจริง และสั่งริบทรัพย์นั้น รถยนต์(หรือพาหนะ) นั้นจะตกเป็นของแผ่นดิน ที่รัฐจะนำไปใช้ประโยชน์ตามกฎหมาย อาทิ การนำไปใช้เพื่อสาธารณประโยชน์ หรือการขายทอดตลาด
แนวทางในการปฏิบัติ ยึดรถเมื่อเมาแล้วขับล่าสุด น่าจะเป็นผลดีที่ทำให้ผู้ขาดความรับผิดชอบ ต่อสังคม เมาแล้วขับ ได้ตระหนัก ถึงความเดือดร้อนของตนเองที่จะตามมา และน่าจะเป็นการแก้ไขปัญหาที่ตรงจุดอย่างยั่งยืน
ดร.รุจิระ บุนนาค
กรรมการผู้จัดการ
Marut Bunnag International Law Office
rujira_bunnag@yahoo.com
Twitter : @RujiraBunnag
เงื่อนไขการแสดงความคิดเห็น ซ่อน
โปรดอ่านก่อนแสดงความคิดเห็น
1.กรุณาใช้ถ้อยคำที่ สุภาพ เหมาะสม ไม่ใช้ ถ้อยคำหยาบคาย ดูหมิ่น ส่อเสียด ให้ร้ายผู้อื่น สร้างความแตกแยกในสังคม งดการใช้ถ้อยคำที่ดูหมิ่นหรือยุยงให้เกลียดชังสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์
2.หากพบข้อความที่ไม่เหมาะสม สามารถแจ้งได้ที่อีเมล์ online@naewna.com โดยทีมงานและผู้จัดทำเว็บไซด์ www.naewna.com ขอสงวนสิทธิ์ในการลบความคิดเห็นที่พิจารณาแล้วว่าไม่เหมาะสม โดยไม่ต้องชี้แจงเหตุผลใดๆ ทุกกรณี
3.ขอบเขตความรับผิดชอบของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ อยู่ที่เนื้อหาข่าวสารที่นำเสนอเท่านั้น หากมีข้อความหรือความคิดเห็นใดที่ขัดต่อข้อ 1 ถือว่าเป็นกระทำนอกเหนือเจตนาของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ และไม่เป็นเหตุอันต้องรับผิดทางกฎหมายในทุกกรณี