nn เรื่องของ...การต่อขยายสัมปทานรถไฟฟ้าสายสีเขียว...ผู้บริหาร กรุงเทพมหานคร (กทม.) คงต้องทำได้แค่นั่ง “ทำใจ” และรอผู้ว่าฯกทม. คนใหม่ผ่าทางตัน หลังจากเส้นทางการต่อขยายสัมปทานรถไฟฟ้าสายสีเขียว ระหว่างกรุงเทพมหานคร (กทม.)และ บมจ.ระบบขนส่งมวลชนกรุงเทพ จำกัด (BTS) ต้องถูกปิดประตูลั่นดาน เพราะถูก รมว.คมนาคมขวางสุดลิ่ม แม้แนวทางดังกล่าวจะได้รับความเห็นชอบจากที่ประชุม ครม.เศรษฐกิจตั้งแต่ 11 พ.ย. 2562 โดยที่กระทรวงคมนาคมก็ร่วมให้ความเห็นชอบมาโดยตลอดนั้น
ล่าสุดแหล่งข่าวจากบริษัทกรุงเทพธนาคม จำกัด เปิดเผยว่า จากการหารือภายในร่วมกับฝ่ายบริหารกรุงเทพมหานคร(กทม.) เชื่อแน่ว่า แนวทางการต่อขยายสัญญาสัมปทานรถไฟฟ้าสายสีเขียวกับ BTS คงจะต้องรอให้การเลือกตั้งผู้ว่าฯกทม.คนใหม่แล้วเสร็จและเข้ามาแก้ไขปัญหาเองแล้ว และอาจลากยาวไปถึงรัฐบาลใหม่ ด้วยสถานะของรัฐบาลชุดปัจจุบันของ พลเอกประยุทธ์ จันทร์โอชา นั้น ทุกฝ่ายเห็นว่า นายกฯมิอาจบังคับบัญชารัฐมนตรีในพรรคร่วมรัฐบาลได้แล้ว การจะสั่งให้นำข้อเสนอของกระทรวงมหาดไทย และกทม.เข้าไปพิจารณาใน ครม.คงทำไม่ได้อีกแล้ว
ในส่วนของ BTS นั้นเท่าที่หารือกันฝ่ายบริหารบีทีเอสเอง ก็ทำใจกับเรื่องนี้แล้ว แต่บริษัทยังคงเชื่อว่าไม่ว่า รัฐบาลและ
ผู้ว่าฯกทม.คนใหม่ที่เข้ามาจะเป็นใคร ก็ต้องเข้ามาสะสางปัญหาหนี้ค้างที่กทม.มีอยู่กับ BTS แม้ว่าที่ผู้ว่าฯกทม.หลายคนจะชูนโยบายไม่ต่อสัญญาสัมปทานบีทีเอส แต่ก็ไม่ใช่ปัญหาเพราะอย่างไรเสียปัญหาหนี้ก่อสร้างรถไฟฟ้าและหนี้ค่าจ้างเดินรถไฟฟ้าที่กทม.มีอยู่กับบีทีเอสก็ต้องได้รับการแก้ไขอยู่ดี และไม่ว่าจะเลือกหนทางใด กทม.ต้องจ่ายหนี้จำนวนดังกล่าวอยู่ดี โดยก่อนหน้านี้บริษัทได้ยื่นฟ้องหนี้ดังกล่าวต่อศาลปกครองไปแล้วกว่า 38,000 ล้านบาท
ในส่วนของกระทรวงคมนาคมที่ตั้งป้อมขัดขวางการต่อสัมปทานรถไฟฟ้าสายสีเขียวให้บีทีเอสนั้น แหล่งข่าวกล่าวว่า
ที่จริงกระทรวงคมนาคมเองก็เคยสร้างผลงานสุดกังขายิ่งกว่ากรณีการต่อสัมปทานรถไฟฟ้าสายสีเขียวเสียอีก แต่รัฐบาลและกระทรวงคมนาคมกลับทำเป็นทองไม่รู้ร้อน รวมทั้งภาคประชาชนเองก็ไม่เคยล้วงลูกเข้าไปตรวจสอบนั่นคือ กรณีที่กระทรวงคมนาคมยืมมือนายกฯและหัวหน้าคณะรักษาความสงบแห่งชาติ(คสช.) มอบสัมปทานรถไฟฟ้าสายสีน้ำเงินส่วนต่อขยาย (หัวลำโพง-บางแค และบางซื่อ-ท่าพระ) โดยไม่มีการประมูล และยังสอดไส้ขยายสัญญาสัมปทานรถไฟฟ้าสีน้ำเงินเดิมให้แก่ บมจ.ทางด่วนและรถไฟฟ้ากรุงเทพ หรือ BEM จาก 25 ปี เป็น 45 ปี จากสัญญาเดิมที่สิ้นสุดในปี 2572 เพื่อให้สิ้นสุดพร้อมกับรถไฟฟ้าสายสีน้ำเงินส่วนต่อขยายในปี 2592
โดยในช่วงก่อนหน้านั้น ได้เกิดความขัดแย้งในแนวทางการดำเนินโครงการรถไฟฟ้าสายสีน้ำเงินส่วนต่อขยาย ระยะทาง 28 กม.วงเงิน 84,000 ล้านบาท ซึ่งเดิมคณะรัฐมนตรี(ครม.) เมื่อ 27 ธ.ค. 2553 มีมติให้ รฟม.ประมูลหาเอกชนเข้ามารับสัมปทานเดินรถไฟฟ้า แต่ฝ่ายการเมืองมีความพยายามที่จะให้เจรจากับบริษัทเอกชนผู้รับสัมปทานรายเดิมโดยไม่เปิดประมูล ทำให้เกิดความขัดแย้งและคาราคาซังร่วม 3 ปี จนในท้ายที่สุด นายอาคม เติมพิทยาไพสิฐ รมว.คมนาคม ในรัฐบาล คสช.ได้เสนอให้หัวหน้าคณะรักษาความสงบแห่งชาติ (คสช.) ออกคำสั่ง ม.44 ที่ 42/2559 ลงวันที่ 17 ก.ค. 2559 ให้ความคุ้มครองคณะกรรมการคัดเลือกฯ ที่เสนอผลเจรจาให้บริษัทเอกชนผู้รับสัมปทานรถไฟฟ้า สายสีน้ำเงินเดิมคือ BEM เข้ารับสัมปทานเดินรถไฟฟ้าสายสีน้ำเงินส่วนต่อขยาย ก่อนเสนอ ครม.ให้ความเห็นชอบตามมติ ครม.เมื่อวันที่ 28 มี.ค. 2560
สัญญาสัมปทานที่รฟม. มอบให้เอกชนไปนั้น รัฐจะลงทุนในส่วนโครงสร้างพื้นฐานวงเงิน 84,000 ล้านบาท ขณะที่เอกชนจะลงทุนระบบรถไฟฟ้า 20,826 ล้านบาท และค่าบำรุงรักษาตลอดสัมปทาน 30 ปี วงเงิน 207,062 ล้านบาท โดยจะได้รับการส่งเสริมการลงทุน (BOI) ด้วย ส่วนเงื่อนไขการแบ่งรายได้ให้รัฐระหว่าง รฟม.กับ BEM นั้น กำหนดตามผลตอบแทนจากการลงทุน (IRR) โดยหาก IRR อยู่ที่ 9.75-11% แบ่งรายได้ให้รัฐ 50:50, หาก IRR ตั้งแต่ 11-15% จะแบ่งรายได้ให้รัฐสัดส่วน 60:40 และหาก IRR หรือรายได้เกิน15% BEM จะแบ่งกันให้รัฐ 75:25%
นอกจากนี้ ครม.ยังเห็นชอบให้ขยายสัมปทานรถไฟฟ้า สายสีน้ำเงิน (สายเฉลิมรัชมงคล)เดิม จากที่สิ้นสุดสัญญาสัมปทาน 25 ปีในปี 2572 โดยให้ขยายอายุสัญญาออกไป 20 ปีเป็นสิ้นสุดพร้อมส่วนต่อขยายในปี 2592 แปลให้ง่ายก็คือ
รัฐบาลใจดีขยายอายุสัมปทานรถไฟฟ้าใต้ดิน สายเฉลิมรัชมงคลเดิมจาก 25 ปี เป็น 45 ปี หรือสิ้นสุดในปี 2592 เพื่อให้สัมปทานสิ้นสุดพร้อมกับรถไฟฟ้า สายสีน้ำเงินส่วนต่อขยาย
ทั้งนี้ หากพิจารณามติ ครม.ข้างต้น ทุกฝ่ายย่อมเข้าใจว่าประชาชนได้ประโยชน์จากการเดินรถต่อเนื่อง เพราะไม่ต้องเสียค่าแรกเข้า 2 ต่อและราคาค่าโดยสารตลอดสายเดิมที่ให้บริการ 18 สถานี แม้จะขยายขึ้นไปเป็น 38-39 สถานีก็ยังคงเดิมคือ 14-42 บาทแต่ข้อเท็จจริงเป็นเพียงการกำหนดค่าโดยสารในระยะเริ่มต้นของการให้บริการ 2 ปีแรกเท่านั้น หลังจากนั้นตามสัญญาสัมปทานได้เปิดทางให้เอกชนมีสิทธิ์ปรับค่าโดยสารทุกๆ 2 ปี ตามดัชนีผู้บริโภค(CPI) ทั้งยังเปิดทางให้เอกชนปรับค่าโดยสาร ทั้งในส่วนของโครงข่ายเดิม และโครงข่ายใหม่ ทั้งที่เป็นคนละสัมปทานกัน...นี่คือการขยายสัมปทานเดิมออกไป โดยไม่ดำเนินการตาม พ.ร.บ.พีพีพี ปี 2556 ในเวลานั้นใช่หรือไม่ ?????
“ขณะที่ผลประโยชน์หรือส่วนแบ่งรายได้ที่รัฐหรือ รฟม.จะได้รับที่อิงผลตอบแทนจากการลงทุนหรือ IRR เป็นหลักจากเดิม
ที่ BEM ต้องจ่ายผลตอบแทนแก่รฟม.รวมกว่า 52,946 ล้านบาทนั้นการกำหนดเงื่อนไขที่อิง IRR หากอยู่ที่ 9.75-11% ส่วนแบ่งรายได้ระหว่าง รฟม. กับ BEM แบ่งให้ตามสัดส่วน 50:50 และหาก IRR ตั้งแต่ 11-15% จะแบ่งกัน 60:40 และหาก IRR หรือรายได้เกิน 15% BEM จะแบ่งกันให้รัฐหรือ รฟม. 75:25% แต่หาก IRR ออกมา ไม่ถึง 9.75%...แน่แปลว่า BEM อาจไม่ต้องจ่ายค่าสัมปทานใดๆ ให้แก่รัฐหรือ รฟม.เลยตลอดสัญญาสัมปทาน”
นอกจากนี้ กระทรวงคมนาคมยังได้เสนอให้ที่ประชุม ครม.เมื่อวันที่ 18 ก.พ. 2563 เห็นชอบการขยายสัญญาสัมปทานทางด่วน3 สายออกไปอีกตั้งแต่ 8- 15 ปี 8 เดือน (จากที่เสนอไป 30 ปี)โดยอ้างเพื่อระงับข้อพิพาทที่การทางพิเศษแห่งประเทศไทย (กทพ.)มีอยู่กับ BEM ทั้งหมด 17 ข้อพิพาท คิดเป็นมูลหนี้ 78,908 ล้านบาททั้งๆ ที่ประเด็นข้อพิพาทต่างๆ เหล่านี้ยังอยู่ชั้นการพิจารณาของศาลปกครอง และอนุญาโตตุลาการเป็นส่วนใหญ่ มีเพียงคดีเดียวคือ การสร้างทางแข่งขันและไม่ให้บริษัทปรับขึ้นอัตราค่าโดยสารตามสัญญา ที่ศาลปกครองสูงสุดมีคำพิพากษาให้ กทพ. พ่ายแพ้คดีต้องจ่ายชดเชยความเสียหายแก่คู่สัญญาเอกชน 1,700 ล้านบาทเท่านั้น ส่วนคดีความอื่นๆ ยังอยู่ในชั้นพิจารณาของอนุญาโตตุลาการเท่านั้น แต่กระทรวงคมนาคมกลับเร่งรัดเจรจามอบสัญญาสัมปทานทางด่วน 3 สาย ให้แก่เอกชนโดยอ้างว่า เกรงว่ามูลหนี้ที่รัฐจ่ายจะเพิ่มสูงขึ้นไป....สิ่งเหล่านี้ล้วนเป็นผลงานสุดกังขาที่ไม่มีใครลงไปตรวจสอบได้
“ถือเป็นผลงานสุดจะบรรยายที่ไม่มีใครจะล้วงลูกเข้าไปตรวจสอบ เพราะมูลหนี้กว่า 78,000 ล้าน ที่กทพ.อ้างว่ามีอยู่กับบริษัทเอกชนนั้นเป็นเพียงข้อเรียกร้องของเอกชนที่ส่วนใหญ่ยังอยู่ระหว่างการพิจารณาของอนุญาตโตตุลาการ หรือในชั้นศาลปกครองเท่านั้น ยังไม่ได้เกิดความเสียหายจริงแต่กลับเจรจาต่อขยายสัญญาไปล่วงหน้าแล้ว เมื่อเทียบกับภาระหนี้ที่ กทม. มีอยู่กับ BTS ซึ่งเป็นหนี้ลงทุนระบบรถไฟฟ้าและค่าจ้างเดินรถที่กำหนดไว้สัญญาที่ กทม.ต้องแบกรับ แต่กระทรวงคมนาคมกลับล้วงลูกเข้ามาขัดขวาง ทั้งที่ไม่ได้เป็นคู่สัญญาแต่อย่างใด...คิดเอาเองว่า...มันเกิดอะไรขึ้น”
กระบองเพชร
เงื่อนไขการแสดงความคิดเห็น ซ่อน
โปรดอ่านก่อนแสดงความคิดเห็น
1.กรุณาใช้ถ้อยคำที่ สุภาพ เหมาะสม ไม่ใช้ ถ้อยคำหยาบคาย ดูหมิ่น ส่อเสียด ให้ร้ายผู้อื่น สร้างความแตกแยกในสังคม งดการใช้ถ้อยคำที่ดูหมิ่นหรือยุยงให้เกลียดชังสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์
2.หากพบข้อความที่ไม่เหมาะสม สามารถแจ้งได้ที่อีเมล์ online@naewna.com โดยทีมงานและผู้จัดทำเว็บไซด์ www.naewna.com ขอสงวนสิทธิ์ในการลบความคิดเห็นที่พิจารณาแล้วว่าไม่เหมาะสม โดยไม่ต้องชี้แจงเหตุผลใดๆ ทุกกรณี
3.ขอบเขตความรับผิดชอบของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ อยู่ที่เนื้อหาข่าวสารที่นำเสนอเท่านั้น หากมีข้อความหรือความคิดเห็นใดที่ขัดต่อข้อ 1 ถือว่าเป็นกระทำนอกเหนือเจตนาของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ และไม่เป็นเหตุอันต้องรับผิดทางกฎหมายในทุกกรณี