nn หลังจากกระทรวงพาณิชย์ได้แถลงตัวเลขการส่งอออกของเดือนกุมภาพันธ์ 2567 ซึ่งมีอัตราการขยายตัว 3.6% (รวมทองคำและอาวุธ) ฝ่ายวิจัยของธนาคารพาณิชย์ขนาดใหญ่ 2 แห่ง ก็ได้เผยแพร่บทวิเคราะห์เกี่ยวกับแนวโน้มการส่งออกของไทยในช่วงต่อจากนี้ของปี 2567
โดย Krungthai COMPASS ธ.กรุงไทย ระบุว่ามูลค่าส่งออกเดือน ก.พ. อยู่ที่ 23,384.9 ล้านดอลลาร์สหรัฐ ขยายตัว 3.6%เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปีก่อน (YoY) เติบโตต่อเนื่องเป็นเดือนที่ 7 แต่ต่ำกว่าคาดการณ์ของตลาดเล็กน้อยที่ 4.4% โดยการส่งออกสินค้าหมวดอุตสาหกรรมเกษตรกลับมาหดตัว ขณะที่สินค้าเกษตรกรรม และสินค้าอุตสาหกรรมขยายตัวชะลอลง ซึ่งการส่งออกสินค้าอุตสาหกรรมขยายตัวต่อเนื่องเป็นเดือนที่ 5 ที่ 5.2% YoY แต่ชะลอลงจากเดือนก่อนที่ขยายตัว 10.3% YoY ขณะที่การส่งออกสินค้าเกษตรและอุตสาหกรรมเกษตรกลับมาหดตัว -1.1% YoY จากเดือนก่อนที่ขยายตัว +9.2% YoY ตามการกลับมาหดตัวของสินค้าอุตสาหกรรมเกษตรที่ -9.2% YoY ขณะที่สินค้าเกษตรเติบโต +7.5% YoY
Krungthai COMPASS ประเมินว่าการส่งออกยังฟื้นตัวได้ไม่ทั่วถึงจะเป็นปัจจัยกดดันต่อการส่งออกในปี 2567 ให้ขยายตัวได้เล็กน้อยที่ 1.8% มูลค่าการส่งออกเดือน ก.พ. ขยายตัว 3.6% YoY ซึ่งเป็นอัตราที่ชะลอลงจากเดือนก่อนที่ขยายตัว 10.0%YoY และหากพิจารณาการส่งออกที่ไม่รวมทองคำจะขยายตัวได้เพียง 1.2% เท่านั้น เนื่องจากการส่งออกสินค้าส่วนใหญ่ยังฟื้นตัวได้ช้า และมูลค่าส่งออกของสินค้าสำคัญยังหดตัวต่อเนื่อง เช่น ยานพาหนะ น้ำตาลทราย ไขมันและน้ำมันจากพืชและสัตว์เครื่องใช้ไฟฟ้า เคมีภัณฑ์ ผลิตภัณฑ์มันสำปะหลังผลไม้ และผลิตภัณฑ์ยาง เป็นต้น นอกจากนี้การส่งออกไปยังจีนและ ASEAN-5 กลับมาหดตัว ขณะที่ตลาดหลักสำคัญ โดยเฉพาะยุโรปและญี่ปุ่น มีแนวโน้มอ่อนแอต่อเนื่อง สอดคล้องกับดัชนีผู้จัดการฝ่ายจัดซื้อภาคการผลิตเดือนมี.ค. 2567 (Flash Manufacturing PMI) ซึ่งหดตัวที่ระดับ 45.7 และ 48.2 สะท้อนถึงอุปสงค์ของสินค้าที่ยังมีความไม่แน่นอนในระยะข้างหน้า
ขณะที่ SCB EIC ธ.ไทยพาณิชย์ ประเมินว่าการส่งออกสินค้าเดือน มี.ค. 2567 ในรูป % YOY มีแนวโน้มหดตัวแรงจากปัจจัยฐานสูง แม้ภาคการผลิตและการค้าโลกจะอยู่ในทิศทางการฟื้นตัว เนื่องจากมีการส่งออกทองคำในเดือน มี.ค. 2566 มากถึง 1,568.7 ล้านดอลลาร์สหรัฐ ซึ่งเป็นระดับที่สูงกว่าปกติมาก ข้อมูลจากการแถลงข่าวของสำนักงานนโยบายและยุทธศาสตร์การค้า กระทรวงพาณิชย์ประเมินว่ามูลค่าการส่งออกในเดือน มี.ค. 2567 จะอยู่ที่ราว 25,500-26,500 หดตัวประมาณ -5.4% ถึง -8.9% อย่างไรก็ดี ยังมีความไม่แน่นอนจากการฝึกซ้อมรบ Cobra Gold ซึ่งอาจเห็นการเคลื่อนย้ายอาวุธหรืออุปกรณ์ซ้อมรบออกนอกประเทศในเดือนหน้าผ่านระบบศุลกากรอาจเป็นปัจจัยช่วยให้ตัวเลขส่งออกเดือน มี.ค. ไม่ติดลบรุนแรงนัก อย่างไรก็ดี ทั้งสองประเด็นไม่ได้สะท้อนสภาวะการส่งออกสินค้าของไทยได้อย่างแท้จริง นอกจากนี้ การเคลื่อนย้ายอาวุธที่เกี่ยวกับการฝึกซ้อมรบ Cobra Gold จะไม่ถูกนับรวมในมูลค่าการส่งออกสินค้าตามระบบดุลการชำระเงิน
มูลค่าการส่งออกไทยจะพลิกกลับมาขยายตัวได้ในปี 2567 จากแรงสนับสนุนหลายด้าน ได้แก่ 1.ปริมาณการค้าโลกที่มีแนวโน้มขยายตัวได้ตามแนวโน้มเศรษฐกิจโลกที่จะขยายตัวใกล้เคียงปีที่แล้ว 2.ภาคการผลิตที่เกี่ยวเนื่องกับการค้าระหว่างประเทศจะกลับมามีบทบาทขับเคลื่อนเศรษฐกิจโลกมากขึ้นในปีนี้ เห็นจากดัชนีผู้จัดการฝ่ายจัดซื้อ (PMI) ภาคการผลิตโลกในเดือน ก.พ. ที่ปรับเพิ่มขึ้นเป็น 50.3 ซึ่งเกิน ระดับ 50 เป็นครั้งแรกในรอบ 18 เดือน นอกจากนี้ ดัชนี PMI ยอดคำสั่งซื้อใหม่ (Export order) และดัชนี PMI ปริมาณผลผลิตในอนาคต (Future output) เริ่มขยายตัวตั้งแต่ช่วงปลายปีที่แล้ว สะท้อนให้เห็นถึงการขยายตัวของภาคการผลิตในระยะข้างหน้า 3.ราคาสินค้าส่งออกที่มีแนวโน้มสูง เช่น ราคาสินค้าเกษตรมีแนวโน้มเพิ่มขึ้นตามปริมาณผลผลิตในตลาดโลกที่ลดลงจากภัยแล้งและนโยบายควบคุมการส่งออกสินค้าในบางประเทศ
อย่างไรก็ตาม SCB EIC ปรับลดประมาณการการส่งออกไทยในปี 2567 อยู่ที่ 3.1% (จาก 3.7%) (ข้อมูลระบบดุลการชำระเงิน) ตามการขยายตัวของปริมาณการค้าโลกในปีนี้ที่ยังมีแนวโน้มดี แต่ต่ำกว่าที่เคยคาดการณ์ไว้ จากปัญหาการโจมตีของกบฏฮูตีและความแห้งแล้งของคลองปานามา ปัญหาการแบ่งขั้วทางเศรษฐกิจ และมาตรการกีดกันทางการค้าที่ถูกนำมาใช้เพิ่มเติม นอกจากนี้สาเหตุที่การส่งออกไทยในช่วงที่ผ่านมาขยายตัวได้ดี ส่วนหนึ่งมาจากปัจจัยพิเศษ เช่น ทองคำ จึงอาจไม่สะท้อนภาพการฟื้นตัวของการส่งออกไทยได้ดีนัก
แม้ภาคการผลิตโลกจะฟื้นตัวจากช่วงโควิดแล้ว แต่ภาคการผลิตไทยที่เน้นผลิตเพื่อส่งออกยังไม่ฟื้นกลับไปเท่าระดับก่อนโควิด สะท้อนจาก 1.ดัชนีผลผลิตอุตสาหกรรมและอัตราการใช้กำลังการผลิตในปี 2566 ที่ยังต่ำกว่าค่าเฉลี่ยในปี 2560-2562 2.การผลิตเกือบทุกอุตสาหกรรม (เกือบ 80% ของมูลค่าเพิ่มภาคอุตสาหกรรมทั้งหมด) ยกเว้นอุตสาหกรรมเครื่องจักรกล เคมีภัณฑ์ และอิเล็กทรอนิกส์ยังไม่ฟื้นตัว และ 3.ดัชนีผู้จัดการฝ่ายจัดซื้อภาคการผลิตไทยมีแนวโน้มปรับแย่ลง ต่างจากดัชนีผู้จัดการฝ่ายจัดซื้อภาคการผลิตโลกที่ปรับดีขึ้น
สาเหตุหลักเพราะการส่งออกสินค้าของไทยยังไม่สามารถปรับตัวตอบสนองรูปแบบความต้องการสินค้าในโลกและห่วงโซ่อุปทานโลกที่เปลี่ยนไปได้ดีนัก สะท้อนจากดัชนีความสามารถในการปรับตัวต่ออุปสงค์โลก (Adaptation effect index) ต่อการเปลี่ยนแปลงของสัดส่วนการครองตลาดโลก (Relative change of world market share) ที่จัดทำโดย International Trade Centre พบว่าดัชนีของไทยยังติดลบในหลายอุตสาหกรรมสำคัญ โดยเฉพาะอิเล็กทรอนิกส์และยานยนต์ รูปแบบความต้องการในตลาดโลกที่เปลี่ยนไปเป็นปัจจัยสำคัญที่ทำให้ศักยภาพการส่งออกไทยอยู่ในระดับต่ำเทียบกับศักยภาพของประเทศในภูมิภาค สะท้อนจากข้อมูล Export potential หรือมูลค่าศักยภาพการส่งออกของไทยใน 5 ปีข้างหน้า จัดทำโดย International Trade Centre ที่อยู่ในระดับต่ำกว่าประเทศในภูมิภาค โดยเฉพาะเวียดนาม มาเลเซีย และสิงคโปร์ นอกจากนั้น หากพิจารณารายอุตสาหกรรม จะเห็นได้ว่าอุตสาหกรรมไทยที่ส่งออกได้ต่ำกว่าศักยภาพมากที่สุด ได้แก่ อุปกรณ์อิเล็กทรอนิกส์ เครื่องจักรกลไฟฟ้า สินค้ายานยนต์ และผลิตภัณฑ์พลาสติกและยาง ดังนั้น ภาคการผลิตไทยจึงจำเป็นต้องเร่งปรับตัวให้สอดคล้องกับรูปแบบความต้องการที่เปลี่ยนไป เพื่อเพิ่มความสามารถในการแข่งขันของไทยในตลาดโลก
เงื่อนไขการแสดงความคิดเห็น ซ่อน
โปรดอ่านก่อนแสดงความคิดเห็น
1.กรุณาใช้ถ้อยคำที่ สุภาพ เหมาะสม ไม่ใช้ ถ้อยคำหยาบคาย ดูหมิ่น ส่อเสียด ให้ร้ายผู้อื่น สร้างความแตกแยกในสังคม งดการใช้ถ้อยคำที่ดูหมิ่นหรือยุยงให้เกลียดชังสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์
2.หากพบข้อความที่ไม่เหมาะสม สามารถแจ้งได้ที่อีเมล์ online@naewna.com โดยทีมงานและผู้จัดทำเว็บไซด์ www.naewna.com ขอสงวนสิทธิ์ในการลบความคิดเห็นที่พิจารณาแล้วว่าไม่เหมาะสม โดยไม่ต้องชี้แจงเหตุผลใดๆ ทุกกรณี
3.ขอบเขตความรับผิดชอบของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ อยู่ที่เนื้อหาข่าวสารที่นำเสนอเท่านั้น หากมีข้อความหรือความคิดเห็นใดที่ขัดต่อข้อ 1 ถือว่าเป็นกระทำนอกเหนือเจตนาของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ และไม่เป็นเหตุอันต้องรับผิดทางกฎหมายในทุกกรณี