nn ในช่วงที่เศรษฐกิจซบเซาและต้องเชิญความท้าทายหลายด้านผู้ประกอบการเอสเอ็มอีน่าเป็นห่วงมากที่สุด ปัญหาเดิมที่มีอยู่ทั้งเรื่องศักยภาพการผลิต การเข้าถึงแหล่งทุน ฯลฯก็ยังเป็นโจทย์ใหญ่ที่ SME ไทยกว่า 80% ยังต้องเผชิญอยู่ ซ้ำในปัจจุบันยังต้องเจอกับปัญหาใหม่เข้ามาซ้ำเดิมซึ่งนั่นก็คือการที่ถูกสินค้าราคาถูกจากจีนเข้ามาตีตลาด
ข้อมูลล่าสุด จากที่สภาอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย (ส.อ.ท.) ได้ทำการสำรวจ FTI CEO Poll ครั้งที่ 38 ในเดือนกุมภาพันธ์ 2567 ภายใต้หัวข้อ “สินค้าราคาถูกด้อยคุณภาพบุกตลาดไทยภาคอุตสาหกรรมรับมืออย่างไร” พบว่าจากความเห็นของผู้บริหาร ส.อ.ท. 65.8% ของผู้ตอบแบบสำรวจทั้งหมด บอกว่า ส่งผลกระทบทำให้ยอดขายสินค้าของไทยลดลงตั้งแต่ 10% จนถึงมากกว่า 30% ในบางอุตสาหกรรม ซึ่งประเด็นดังกล่าวทำให้ภาคอุตสาหกรรมมีความกังวลเรื่องขีดความสามารถในการแข่งขันของอุตสาหกรรมภายในประเทศ เนื่องจากหลายอุตสาหกรรมไม่สามารถแข่งขันด้านต้นทุนกับสินค้าราคาถูกที่เข้ามาในประเทศได้ รวมทั้งมีความกังวลถึงเรื่องความปลอดภัยของผู้บริโภคในการเลือกใช้สินค้าที่ไม่มีคุณภาพและไม่มีมาตรฐาน โดยเฉพาะในกลุ่มสินค้าเครื่องใช้ไฟฟ้า อาหาร เครื่องสำอาง สิ่งทอ เครื่องนุ่งห่มสินค้าแฟชั่น วัสดุก่อสร้าง เป็นต้น
ทั้งนี้ ผู้บริหาร ส.อ.ท. จึงเสนอให้ภาครัฐเพิ่มความเข้มงวดในการตรวจจับสินค้าที่ไม่มีมาตรฐานและใช้การสำแดงเท็จนำเข้าผ่านด่านศุลกากร ควบคู่ไปกับการตรวจสินค้าที่ไม่ได้มาตรฐานในท้องตลาดทั้ง มอก. และ อย. รวมทั้ง จะต้องเร่งแก้ไขปัญหาสินค้าราคาถูกที่เข้ามาผ่านช่องทางออนไลน์ E-Commerce platform โดยการพิจารณาทบทวนข้อยกเว้นการจัดเก็บภาษีมูลค่าเพิ่ม (VAT) สำหรับการซื้อสินค้าออนไลน์ที่ไม่เกิน 1,500 บาท และออกมาตรการป้องกันการสำแดงราคาเท็จ ตลอดจนทบทวนเงื่อนไขการใช้ประโยชน์จากคลังสินค้าในเขตปลอดอากร (Free Zone Warehouse) เพื่อทำให้เกิดความเท่าเทียมในการขายสินค้าในประเทศ
ที่สำคัญผู้บริหาร ส.อ.ท. ส่วนใหญ่มองว่า ต้นทุนการผลิตของไทยที่ปรับตัวสูงขึ้นมากทั้งจากค่าไฟฟ้า ต้นทุนวัตถุดิบ ค่าแรง อัตราดอกเบี้ยเงินกู้ และต้นทุนด้านโลจิสติกส์ ทำให้สินค้าไทยในปัจจุบันเริ่มที่จะแข่งขันได้ยากยิ่งขึ้นในตลาดอาเซียน ซึ่งจะเห็นได้จากมูลค่าการส่งออกสินค้าไปอาเซียน ปี 2566 ที่ลดลงกว่า 7.12% เมื่อเทียบกับปี 2565
อีกข้อมูลหนึ่งของ SME ที่น่าสนใจคือ ดัชนีความเชื่อมั่นผู้ประกอบการเอสเอ็มอีซึ่งตัวเลขในเดือนมกราคม 2567 เปรียบเทียบกับเดือนธันวาคม 2566 พบว่า ค่าดัชนีปรับตัวเพิ่มขึ้นมาอยู่ที่ระดับ 55.0 จากระดับ 54.3 ผลจากนักท่องเที่ยวต่างชาติเดินทางเข้าไทยเพิ่มขึ้น ส่งผลดีต่อธุรกิจบริการ ราคาขายสินค้าเกษตรหลายรายการทั้งกลุ่มพืชไร่และพืชสวนเพิ่มขึ้น ส่งผลธุรกิจเกษตรขยายตัวดี อย่างไรก็ตามต้นทุนจากค่าน้ำมันเชื้อเพลิงสูงขึ้นอีกครั้งทำผู้ประกอบการกังวล หากพิจารณาแยกตามดัชนีองค์ประกอบปัจจุบัน พบว่า องค์ประกอบด้านปริมาณการผลิต/การค้า/บริการ กำไร คำสั่งซื้อโดยรวม ปรับตัวเพิ่มขึ้นระดับ 60.2 67.6 และ 62.4 จาก 57.6 66.0 และ 60.4 ขณะที่ดัชนีองค์ประกอบด้านต้นทุนรวมต่อหน่วย การลงทุนโดยรวม และการจ้างงาน ปรับตัวลดลงระดับ 37.4 52.3 และ 50.4 จาก 38.7 52.8 และ 50.5
สำหรับดัชนีความเชื่อมั่นฯ รายภาคธุรกิจ พบว่า ภาคธุรกิจการเกษตร ค่าดัชนีขยายตัวเพิ่มขึ้นชัดเจนตามราคาสินค้าเกษตร ธุรกิจภาคบริการขยายตัวได้ดีในหลายสาขาธุรกิจ อาทิ กลุ่มบริการที่เกี่ยวเนื่องกับการก่อสร้าง การซ่อมบำรุง การท่องเที่ยวและการบริการ แต่ภาพรวมของธุรกิจภาคการค้าทรงตัว และภาคการผลิตทรงตัวจากเดือนก่อนหน้า แต่ต้นทุนการผลิตโดยเฉพาะน้ำมันเชื้อเพลิงปรับราคาสูงขึ้นยังเป็นปัจจัยหลักที่กระทบต่อต้นทุนของเอสเอ็มอี
จากสถานการณ์ของ SME ในภาคการค้าและภาคผลิต ที่ยังไม่ดีขึ้นนัก จึงมีข้อเสนอจาก สมาพันธ์ เอสเอ็มอีไทย....ให้ภาครัฐจัดทำโครงการ “Digital wallet ลดค่าครองชีพภาคแรงงาน” ผ่านกระทรวงพาณิชย์ โดยเชิญชวนภาคเอกชนทุกขนาดทั้งในท้องถิ่นและนอกพื้นที่ที่มีความพร้อมในการลดราคาสินค้าอุปโภค-บริโภคให้กับผู้ประกันตนมาตรา 33 มาตรา 39 และมาตรา 40 ที่มีจำนวนรวมกันกว่า 24 ล้านราย ในระบบประกันสังคม เพื่อลดภาระค่าใช้จ่ายครัวเรือนลดต้นทุนการประกอบอาชีพ และสร้างแรงจูงใจการนำแรงงานนอกระบบเข้าสู่ระบบเพื่อเข้าถึงกลไกสวัสดิการและพัฒนาแรงงานเพิ่มผลิตภาพซึ่งโครงการนี้มุ่งสร้างเศรษฐกิจแบ่งปันสนับสนุนการลดภาระช่วยเหลือซึ่งกันและกัน ส่งเสริมเศรษฐกิจฐานรากในการกระตุ้นเศรษฐกิจเชิงพื้นที่ สร้างการมีส่วนร่วมและได้รับประโยชน์จากการลดต้นทุนให้กับเอสเอ็มอีอีกทางด้วย
“แนวคิดเป็นการลดภาระค่าครองชีพประชาชนและผู้ประกอบการอิสระที่อยู่ในระบบประกันสังคมมาตรา 33 มาตรา 39 และมาตรา 40 ประมาณ 24.5 ล้านคน ผ่านการจัดทำโครงการให้ส่วนลดสูงสุดไม่เกิน 500 บาท และ 1,000 บาทต่อเดือน โดยกลุ่มเหล่านี้มีสิทธิซื้อสินค้าในเครือข่ายธงฟ้า หรือจัดมหกรรมลดค่าครองชีพที่กระทรวงพาณิชย์
ประสานผู้ผลิตและเกษตรกร นำสินค้ามาจำหน่ายในราคาต่ำกว่าปกติ อยากให้ทำต่อเนื่อง 6-10 เดือน โดยรัฐช่วยเหลือผู้ผลิตด้วยมาตรการลดหย่อนด้านภาษี”
อย่างไรก็ตาม เสียงสะท้อนล่าสุดจากกรมการค้าภายใน (คน.) ต่อโครงการนี้นั้นคุณวัฒนศักย์ เสือเอี่ยม อธิบดีกรมการค้าภายใน(คน.) ระบุว่าอยู่ระหว่างการหารือและหาแนวทางในทางปฏิบัติ ซึ่งในแนวคิดต้องการเป็นการช่วยเหลือเอสเอ็มอีในการระบายสินค้าและลดภาระค่าครองชีพผู้บริโภค ส่วนรายละเอียดคงต้องหารือกันก่อน
กระบองเพชร
เงื่อนไขการแสดงความคิดเห็น ซ่อน
โปรดอ่านก่อนแสดงความคิดเห็น
1.กรุณาใช้ถ้อยคำที่ สุภาพ เหมาะสม ไม่ใช้ ถ้อยคำหยาบคาย ดูหมิ่น ส่อเสียด ให้ร้ายผู้อื่น สร้างความแตกแยกในสังคม งดการใช้ถ้อยคำที่ดูหมิ่นหรือยุยงให้เกลียดชังสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์
2.หากพบข้อความที่ไม่เหมาะสม สามารถแจ้งได้ที่อีเมล์ online@naewna.com โดยทีมงานและผู้จัดทำเว็บไซด์ www.naewna.com ขอสงวนสิทธิ์ในการลบความคิดเห็นที่พิจารณาแล้วว่าไม่เหมาะสม โดยไม่ต้องชี้แจงเหตุผลใดๆ ทุกกรณี
3.ขอบเขตความรับผิดชอบของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ อยู่ที่เนื้อหาข่าวสารที่นำเสนอเท่านั้น หากมีข้อความหรือความคิดเห็นใดที่ขัดต่อข้อ 1 ถือว่าเป็นกระทำนอกเหนือเจตนาของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ และไม่เป็นเหตุอันต้องรับผิดทางกฎหมายในทุกกรณี