nn นางสาวแพทองธาร ชินวัตร หัวหน้าพรรคเพื่อไทย บุตรสาวอดีตนายกรัฐมนตรี ทักษิณ ชินวัตร มีกำหนดเดินทางเยือนกัมพูชาระหว่างวันที่ 18-19 มีนาคม ที่จะถึงนี้ตามคำเชิญของสมเด็จฮุนเซน หัวหน้าพรรคประชาชนกัมพูชา บิดาของนายกรัฐมนตรี ฮุน มาเนต แห่งกัมพูชา เพื่อสานสัมพันธ์ระหว่างพรรคการเมือง ซึ่งเป็นพรรครัฐบาลทั้งสองให้แน่นแฟ้นท่ามกลางข้อครหาว่า สมเด็จฮุนเซน ซึ่งเดินทางมาเยี่ยมเยือนอดีตนายกฯ ทักษิณ เพื่อนสนิทของเขา เมื่อวันที่ 21 กุมภาพันธ์ มีผลประโยชน์ทับซ้อนกันทำนองว่าฝ่ายไทยจะเอาอำนาจอธิปไตยเหนือเกาะกูดไปยกให้กัมพูชาเพื่อแลกกับผลประโยชน์จากแหล่งพลังงานในพื้นที่ทับซ้อนดังกล่าว
คนจำนวนมากคงจะเกิดคำถามว่า การตกลงแบ่งปันผลประโยชน์ระหว่างคนสองตระกูลจะเกิดขึ้นได้ง่ายๆ อย่างนั้นเชียวหรือ แต่หากพิจารณาโดยปราศจากอคติ ผลประโยชน์ทับซ้อนโดยเฉพาะในส่วนของประเทศไทยคงเกิดขึ้นได้ยากเนื่องจากระบบการเมืองและสถานการณ์ในปัจจุบันไม่เอื้ออำนวยให้ทำเช่นนั้นได้ อย่างสะดวกนัก ด้วยเหตุผลดังต่อไปนี้
ประการแรก การเจรจาเรื่องพื้นที่ที่ทั้งสองประเทศอ้างสิทธิทับซ้อนกันในอ่าวไทยนั้น จะต้องทำกันภายใต้กรอบบันทึกความเข้าใจปี 2544 ซึ่งกำหนดเอาไว้อย่างชัดเจนว่า ให้ดำเนินการ“เจรจา” แบ่งพื้นที่เหนือเส้นละติจูดที่ 11 องศาเหนือให้เสร็จเด็ดขาดพร้อมๆ กับการจัดตั้งระบอบพัฒนาร่วมในพื้นที่ใต้เส้นละติจูด 11 องศาเหนือเป็นแพ็กเกจเดียวกันโดยไม่แบ่งแยกกันหากผู้มีอำนาจของทั้งสองฝ่ายจะสั่งการเพื่อให้ได้ผลประโยชน์อย่างหนึ่งเฉพาะตัว ก็จะทำให้ส่งผลกระทบต่อการเจรจาทั้งสองเรื่อง การเอาผลประโยชน์เฉพาะตัวเข้ามาเกี่ยวข้องจะทำให้การเจรจายุ่งยากและซับซ้อน เกินกว่าจะทำการตกลงกันได้โดยง่าย ความจริงการที่เอาเรื่องเขตแดนทางทะเลและเรื่องผลประโยชน์ในพื้นที่ทับซ้อนมาผูกพันกันเอาไว้เช่นนั้นก็เพื่อป้องกันไม่ให้มีการตกลงแบ่งผลประโยชน์กันโดยง่ายนั่นเอง เพราะถ้าหากเจรจาแต่ละเรื่องโดยเอกเทศ การทำความตกลงผลประโยชน์เฉพาะส่วนของการแบ่งปันผลผลิตในพื้นที่พัฒนาร่วมกันบนพื้นฐานของหลักธุรกิจ ย่อมจะทำให้ง่ายกว่าการตกลงกันในเรื่องเขตแดนแน่นอน
ประการที่สอง กลไกกฎหมายของไทยกำหนดเอาไว้ในรัฐธรรมนูญว่า ความตกลงกับต่างประเทศที่มีบทเปลี่ยนแปลงเขตแดนหรือมีกระทบต่อผลประโยชน์ทางเศรษฐกิจในวงกว้างจะต้องผ่านความเห็นชอบของรัฐสภา ซึ่งแน่นอนว่ามีทั้งฝ่ายค้านและฝ่ายรัฐบาล ที่อาจจะเห็นด้วยหรือไม่เห็นด้วยกับเรื่องใดเรื่องหนึ่ง หากปรากฏโดยชัดแจ้งว่ามีการนำเอาผลประโยชน์ส่วนตัวมาปะปนกับผลประโยชน์แห่งชาติ อาจจะเป็นเรื่องยากที่จะใช้เสียงส่วนมากในสภาลงมติให้เรื่องนี้ผ่านไปได้โดยง่าย ยิ่งข้อเท็จจริงในปัจจุบันคือ พรรคเพื่อไทยของนางสาวแพทองธารซึ่งเป็นพรรครัฐบาลไม่ได้มีเสียงในสภามากแบบเบ็ดเสร็จเด็ดขาดถึงขนาดจะทำให้เรื่องใดเรื่องหนึ่งผ่านความเห็นชอบไปได้โดยง่าย ก็ดูจะเป็นการยากเช่นกันที่จะเอาผลประโยชน์ส่วนตนของตระกูลชินวัตรให้ผ่านการพิจารณาของสภาไปได้ง่ายๆ
ประการที่สาม การเจรจาระหว่างประเทศเป็นเรื่องที่ต้องใช้เวลานาน ประสบการณ์ที่ผ่านมาบอกให้รู้ว่า หลายรัฐบาลนั้นหมดวาระหรือมีอันเป็นไปก่อนที่จะสามารถเจรจาเรื่องพื้นที่ทับซ้อนให้คืบหน้าได้ อย่าว่าแต่จะเอาผลประโยชน์ของตระกูลเข้าไปอยู่ในการเจรจาเลย ลำพังแต่การกำหนดแนวทางในการเจรจา ก็ใช้เวลานานมากแล้ว และต้องไม่ลืมว่า นับแต่ลงนามในบันทึกความเข้าใจกันเมื่อปี 2544 ไทยผ่านการมีนายกรัฐมนตรีไปแล้ว 7 คน (ทักษิณ ชินวัตร,สุรยุทธ์ จุลานนท์, สมัคร สุนทรเวช,สมชาย วงศ์สวัสดิ์, อภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ,ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร, และ ประยุทธ์ จันทร์โอชา ส่วน เศรษฐา ทวีสิน กำลังจะเป็นคนที่ 8 ถ้าเขาล้มเหลวในคราวนี้) ส่วนรัฐมนตรีต่างประเทศที่ต้องรับผิดชอบเรื่องนี้นั้นผ่านไปแล้ว 11 คน ทั้งไทยและกัมพูชาได้ประชุมคณะกรรมการร่วมทางเทคนิค (Joint Technical Committee-JTC) เพื่อหารือเรื่องเขตทับซ้อนไปเพียง2 ครั้ง คณะอนุกรรมาธิการร่วมทางเทคนิคอีก2 ครั้ง คณะกรรมการร่วมทางเทคนิคหารืออย่างไม่เป็นทางการ 4 ครั้ง ประชุมคณะทำงานร่วมไทย-กัมพูชาว่าด้วยการกำหนดพื้นที่พัฒนาร่วมทางทะเล 1 ครั้ง และมีการประชุมคณะทำงานว่าด้วยระบอบพัฒนาร่วม 6 ครั้ง แต่ยังไม่มีความคืบหน้าอะไรเป็นชิ้นเป็นอันเลย ถ้าทักษิณมีอิทธิฤทธิ์อย่างที่พูดกันจริง เรื่องทั้งหมดก็น่าจะจบลงตั้งแต่เมื่อครั้งที่เขามีอำนาจเต็มในฐานะนายกรัฐมนตรีโน่นแล้ว ไม่น่าจะยืดเยื้อยาวนานถึงขนาดนี้
ประการที่สี่ ทั้งไทยและกัมพูชาต่างให้สัมปทานในพื้นที่ที่มีการอ้างสิทธิทับซ้อนกันเอาไว้เต็มพื้นที่แล้ว ก่อนที่จะมีการทำบันทึกความเข้าใจกันในปี 2544 โดยไทยให้สัมปทานในปี 2514 และ 2515 แก่บริษัท มิตซุย, เชฟรอน, เชลล์,อิเดนมิตสึ โคซัน, ปตท.สผ. และโคเมโกะ ส่วนกัมพูชานั้น ให้สัมปทานในปี 2540 แก่บริษัทโคโนโค, อิเดนมิตสึ, และ โททาล แต่ทั้งหมดนั้นยังไม่ได้ดำเนินการเนื่องจากพื้นที่ยังอยู่ในระหว่างพิพาทกัน ที่สำคัญบริษัทเหล่านี้ล้วนเป็นบริษัทข้ามชาติที่เป็นยักษ์ใหญ่ทางด้านพลังงานด้วยกันทั้งสิ้น พวกเขาย่อมไม่ปล่อยให้คน 2 ตระกูลตกลงแบ่งปันผลประโยชน์ที่เขาควรจะได้ไปเปล่าๆ เป็นแน่ เมื่อถึงเวลาที่ไทยและกัมพูชาตกลงแบ่งสัดส่วนกันได้ ประสบการณ์จากกรณีการพัฒนาร่วมระหว่างไทยและมาเลเซีย บอกให้รู้ว่า บริษัทเหล่านี้ย่อมต้องแสดงสิทธิของตัวเองตามสัญญาที่ทั้งสองประเทศให้ไว้ ซึ่งก็จะทำให้เกิดการเจรจาต่อรองผลประโยชน์ทางธุรกิจกันอีกนานพอสมควร และหากการเจรจาทางธุรกิจไม่เป็นผล บริษัทเหล่านี้ย่อมมีสิทธิที่จะดำเนินการทางกฎหมายเพื่อรักษาสิทธิประโยชน์ของพวกเขาอย่างแน่นอน หากทั้งสองตระกูลตกลงอะไรกันเอาไว้ ก็จะต้องนำมาแลกเปลี่ยนกันใหม่ ถ้าไม่เช่นนั้นพวกเขาจะต้องเผชิญวิบากกรรมทางกฎหมายกับบริษัทข้ามชาติเหล่านี้อย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้
ประการที่ห้า สถานการณ์ที่เป็นอยู่ในเวลานี้นั้น ทั้งรัฐบาลไทยและกัมพูชาต่างก็ต้องเผชิญกับแรงต่อต้านจากภายในประเทศ เพราะต้องไม่ลืมว่าไม่เพียงแต่ขบวนการผู้รักชาติในประเทศไทยกำลังดาหน้ากันออกมาตั้งคำถามกับรัฐบาลไทยในช่วงนี้เท่านั้น ในกัมพูชานั้นมีกระแสชาตินิยมอยู่เช่นกัน นายกรัฐมนตรีฮุน มาเนต ของกัมพูชา มีความจำเป็นต้องมาชี้แจงต่อสาธารณะหลังจากกลับจากการเยือนประเทศไทยได้เพียง 1 วันว่า ตระกูลฮุน ของเขาไม่มีทางที่จะทรยศต่อประเทศชาติด้วยการเอาอำนาจอธิปไตยเหนือดินแดนไปแลกกับผลประโยชน์ของทรัพยากรปิโตรเลียมในพื้นที่ทับซ้อนอย่างแน่นอน
เรื่องก็เลยกลายเป็นเกิดคำถามขึ้นมาอีกว่า ตกลงใครจะเอาผลประโยชน์ทางด้านพลังงานไปแลกกับอำนาจอธิปไตยกันแน่ หรือว่าผู้ที่สร้างข้อกล่าวหาอันสับสนปนเปกันอยู่ในเวลาซึ่งส่วนใหญ่ไม่ได้เป็นผู้เชี่ยวชาญในเรื่องนี้มีเจตนาอย่างอื่นมากไปกว่าการรักษาผลประโยชน์แห่งชาติ
** กระบองเพชร **
เงื่อนไขการแสดงความคิดเห็น ซ่อน
โปรดอ่านก่อนแสดงความคิดเห็น
1.กรุณาใช้ถ้อยคำที่ สุภาพ เหมาะสม ไม่ใช้ ถ้อยคำหยาบคาย ดูหมิ่น ส่อเสียด ให้ร้ายผู้อื่น สร้างความแตกแยกในสังคม งดการใช้ถ้อยคำที่ดูหมิ่นหรือยุยงให้เกลียดชังสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์
2.หากพบข้อความที่ไม่เหมาะสม สามารถแจ้งได้ที่อีเมล์ online@naewna.com โดยทีมงานและผู้จัดทำเว็บไซด์ www.naewna.com ขอสงวนสิทธิ์ในการลบความคิดเห็นที่พิจารณาแล้วว่าไม่เหมาะสม โดยไม่ต้องชี้แจงเหตุผลใดๆ ทุกกรณี
3.ขอบเขตความรับผิดชอบของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ อยู่ที่เนื้อหาข่าวสารที่นำเสนอเท่านั้น หากมีข้อความหรือความคิดเห็นใดที่ขัดต่อข้อ 1 ถือว่าเป็นกระทำนอกเหนือเจตนาของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ และไม่เป็นเหตุอันต้องรับผิดทางกฎหมายในทุกกรณี