nn ถ้าจำกันได้เมื่อช่วงต้นปีที่เกิดสถานการณ์ราคาเหล็กในประเทศราคาเพิ่มขึ้น ทำให้หลายธุรกิจที่ใช้เหล็กเป็นวัตถุดิบสำคัญออกมาบอกว่าได้รับผลกระทบเนื่องจากต้นทุนเพิ่มขึ้น และทำให้ผู้ประกอบการอุตสาหกรรมเหล็กของไทย รวมทั้งกลุ่มอุตสาหกรรมเหล็ก สภาอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย (ส.อ.ท.) ต้องออกมาชี้แจงว่าสิ่งที่เกิดขึ้นเพราะเกิดปัญหาในเรื่องห่วงโซ่อุปทาน วัตถุดิบที่ใช้ในเรื่องของอุตสาหกรรมเหล็ก รวมถึงราคาพลังงาน หลังจากที่รัสเซีย เริ่มใช้ปฏิบัติพิเศษทางทหารต่อยูเครน และก็คาดหวังว่าปัญหานี้จะจบลงภายในระยะเวลาไม่เกิน 2 เดือน ซึ่งจะทำให้ราคาเหล็กกลับเข้าสู่ภาวะปกติและเข้าสู่ภาวะช่วงขาลงได้ภายในไตรมาส 2 ของปีนี้
แต่ในเมื่อความจริงเรื่องของปฏิบัติการพิเศษทางทหารของรัสเซียที่มีต่อยูเครนได้ขยายวงไปเป็นสงครามระหว่างรัสเซียกับยูเครน และดูเหมือนว่าหลายฝ่ายกังวลว่าสงครามกำลังจะขยายวงออกไปถึงยุโรป และยังไม่เห็นสัญญาณที่ชัดเจนว่า สงครามครั้งนี้จะจบลงได้ในเร็ววัน ผนวกกับราคาน้ำมันดิบและพลังงานอื่นก็ยังถีบตัวสูงขึ้นซึ่งอาจจะยาวนานจนถึงสิ้นปี ทำให้เราต้องปรับคาดการณ์แนวโน้มใหม่อีกครั้งสำหรับอุตสาหกรรมเหล็กและราคาเหล็กในประเทศ ในช่วงครึ่งปีหลังว่าจะมีทิศทางอย่างไร ในเมื่อปัจจัยลบดังที่กล่าวมาข้างต้นยืดเยื้อยาวนานกว่าที่คาดการณ์ไว้
ทั้งนี้ สมาคมเหล็กโลก (World Steel Association) คาดการณ์ความต้องการใช้เหล็กของทั้งโลกในปี 2565 ว่าจะมีปริมาณ 1,804.2 ล้านตัน ปรับตัวขึ้น 0.4% จากปีก่อน ขณะที่สถาบันเหล็กและเหล็กกล้าแห่งประเทศไทย รายงานว่าไตรมาสแรกของปี 2565 ประเทศไทยมีความต้องการใช้เหล็ก 4.04 ล้านตัน หดตัวลง -17.8% เทียบกับช่วงเดียวกันของปีก่อน
ส่วนเรื่องราคาเหล็กในตลาดโลกนั้นปรับขึ้น-ลงตามต้นทุนวัตถุดิบ ได้แก่ สินแร่เหล็ก เศษเหล็ก ต้นทุนพลังงาน ได้แก่ ถ่านหิน น้ำมัน แก๊ส ไฟฟ้า และต้นทุนค่าขนส่ง ซึ่งมีความผันผวนมากในครึ่งแรกของปี โดยเฉพาะอย่างยิ่ง เมื่อเกิดความขัดแย้งรัสเซียบุกยูเครน ส่งผลให้ราคาเหล็กในเกือบทุกภูมิภาคทั่วโลกปรับตัวขึ้นไปสูงสุดในเดือนมี.ค. จากความตระหนกของตลาดโลกว่าสินค้าเหล็กและวัตถุดิบอาจขาดแคลน เพราะทั้งสองประเทศนี้รวมกันเป็นแหล่งผลิตสินแร่และแก๊สมากสุดถึง 20% ของโลก เป็นแหล่งผลิตน้ำมันดิบสัดส่วน 10% และเป็นแหล่งผลิตสินค้าเหล็กสัดส่วน 5%
ทางด้านนายนาวา จันทนสุรคน กรรมการผู้จัดการใหญ่ บริษัท สหวิริยาสตีล อินดัสตรี จำกัด (มหาชน) และประธานกลุ่มอุตสาหกรรมเหล็ก สภาอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย (ส.อ.ท.) กล่าวว่า สถานการณ์เหล็กในช่วงครึ่งแรกของปี’65 ว่า ตลาดเหล็กของโลก และของไทยมีความผันผวนมาก แต่ ความต้องการใช้เหล็กของไทยเริ่มปรับตัวดีขึ้นตั้งแต่ไตรมาสที่สองแม้จะเผชิญกับความผันผวนด้านราคา ตลอดจนความกังวลในภาวะเงินเฟ้อ ซึ่งในครึ่งหลังของปี 2565 หากรัฐบาลคลายล็อกมาตรการต่างๆ ในการป้องกันการระบาดของโรคโควิด-19 และเปิดประเทศมากขึ้น ประกอบกับการเดินหน้าตามนโยบายส่งเสริมการก่อสร้างภาครัฐให้ใช้พัสดุที่ผลิตในประเทศไทยอย่างต่อเนื่อง จะกระตุ้นเศรษฐกิจและส่งผลให้ความต้องการใช้เหล็กของไทยปี 2565 มีปริมาณใกล้เคียงกับปี 2564 ที่ 19 ล้านตันได้
ทั้งนี้ ความต้องการใช้เหล็กต่อปีของไทย คิดเป็นสัดส่วน 1% ของความต้องการใช้เหล็กของโลก แต่สามารถผลิตเหล็กดิบได้เองเพียงสัดส่วน 0.24% ของการผลิตเหล็กดิบโลก ราคาสินค้าเหล็กในไทยจึงเป็นไปตามทิศทางตลาดโลก แม้ในช่วงราคาขาขึ้นสินค้าเหล็กถูกควบคุมราคาโดยกระทรวงพาณิชย์ แต่หลังจากประเทศต่างๆ ได้แก้ปัญหาห่วงโซ่อุปทานสินค้าเหล็ก รวมทั้งภาวะเงินเฟ้อและเศรษฐกิจชะลอตัวทั่วโลก ดังนั้นโอกาสที่ราคาสินค้าเหล็กในไทยจะลดต่ำลงจนเท่ากับช่วงก่อนโควิด-19 เป็นไปได้ยากเพราะยังมีปัจจัยกดดันด้านต้นทุนวัตถุดิบ พลังงาน เงินเฟ้อ และค่าเงินบาทที่อ่อนอยู่
นอกจากนี้ ยังต้องจับตาการส่งออกเหล็กจากจีนเพราะแม้ว่า รัฐบาลจีน ซึ่งเป็นผู้ผลิต ผู้ใช้ และผู้ส่งออกสินค้าเหล็กอันดับหนึ่งของโลกพยายามปรับโครงสร้างของอุตสาหกรรมเหล็กของจีน และควบคุมปริมาณการผลิตเหล็กในปี 2565 ให้ไม่เกิน 1,035 ล้านตันแต่คาดว่าจีนจะใช้เหล็กเองภายในประเทศ 952 ล้านตันดังนั้นจะยังคงเหลือเหล็กจีนส่งออกไปทั่วโลกปริมาณมาก ซึ่งช่วง 4 เดือนแรกของปี 2565 จีนได้ส่งออกสินค้าเหล็กไปทั่วโลกแล้ว 18.2 ล้านตัน โดยเฉพาะอย่างยิ่งการส่งออกเหล็กในเดือนเมษายน ส่งออกเหล็กมากถึง 5.1 ล้านตัน สูงสุดในรอบ 9 เดือน เนื่องจากเศรษฐกิจภายในของจีนชะลอตัว ซึ่งส่งผลกระทบเชิงลบต่ออุตสาหกรรมต่อเนื่องต่างๆ ทั้งก่อสร้าง ต่อเรือ เครื่องจักรกล ยานยนต์ โดยการผลิตรถยนต์ในจีนเดือนเมษายนลดลงมากถึง -44 %
“เชื่อว่าเศรษฐกิจของจีนได้ชะลอตัวถึงจุดต่ำสุดแล้วในเดือน เม.ย. และกำลังฟื้นตัวช้าๆ ตามมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจครั้งใหญ่ ซึ่งจะช่วยให้การเติบโตทางเศรษฐกิจของจีนของทั้งปี 2565 อยู่ที่ 4.4% โดยต้องจับตามองว่าการกระตุ้นเศรษฐกิจของจีนที่กำลังเร่งดำเนินการอยู่นี้จะบรรลุผลหรือไม่ เพราะถ้าไม่ก็มีความเสี่ยงที่ความต้องการใช้เหล็กภายในจีนยังลดลงจนจีนต้องเร่งระบายสินค้าเหล็กทุ่มตลาดมายังอาเซียนและไทย โดยในไตรมาสแรกของปีนี้ จีนส่งออกสินค้าเหล็ก 790,000 ตัน มายังไทย ส่วนใหญ่เป็นสินค้าเหล็กที่ไทยไม่มีการใช้มาตรการตอบโต้การทุ่มตลาด (AD) เช่น เหล็กลวดคาร์บอนต่ำ เป็นต้น รวมทั้งมีสินค้าเหล็กบางประเภทที่มีการนำเข้าปริมาณมากโดยหลบเลี่ยงมาตรการ AD เช่น สินค้าเหล็กแผ่นเคลือบ และสินค้าเจืออัลลอยด์ ฯลฯ” นายนาวากล่าว
นายนาวากล่าวอีกว่า ประเทศต่างๆ ดำเนินมาตรการทางการค้ากับสินค้าเหล็กอย่างเข้มงวด ทั้งการตอบโต้การทุ่มตลาด (AD) มาตรการตอบโต้การหลบเลี่ยง(Anti-Circumvention) มาตรการปกป้องการนำเข้าที่เพิ่มขึ้น (Safeguard) มาตรการตอบโต้การอุดหนุน (Countervailing) เพื่อปกป้องอุตสาหกรรมภายในประเทศ ทั้งผู้ผลิตเหล็กรายใหญ่ ได้แก่ จีน อินเดีย ญี่ปุ่น อเมริกา เกาหลีใต้ สหภาพยุโรป หรือผู้ผลิตในอาเซียน ได้แก่ เวียดนาม อินโดนีเซีย มาเลเซีย สิงคโปร์ ขณะที่ประเทศไทยมีการดำเนินการเพียงมาตรการตอบโต้การทุ่มตลาด (AD) กับสินค้าเหล็กบางประเภทเท่านั้น และไม่มีการใช้มาตรการอื่นๆ ทั้งที่มีกฎหมายรองรับแล้ว
นอกจากนั้น การพิจารณา AD ของไทยเกือบทุกกรณี คณะกรรมการพิจารณาการทุ่มตลาดและการอุดหนุน ซึ่งมี รัฐมนตรีว่าการกระทรวงพาณิชย์เป็นประธาน ใช้ระยะเวลานานหลายเดือนถึงปีกว่าจะให้เปิดไต่สวน และมักใช้เวลาพิจารณานานเต็มกรอบเวลาสูงสุด 1-1.5 ปี ไม่รวดเร็วเช่นหลายประเทศ รวมทั้งมาตรการ AD ที่บังคับใช้ส่วนใหญ่ได้มีการผ่อนคลายยกเว้น ทำให้แม้มีการใช้มาตรการ AD ก็ยังมีการนำเข้าสินค้าเหล็กมากเกือบ 10 ล้านตันต่อปี คิดเป็นสัดส่วน 61% ของความต้องการใช้เหล็กของไทย
“กลุ่มอุตสาหกรรมเหล็ก ส.อ.ท. สนับสนุนรัฐบาลที่ส่งเสริมการใช้พัสดุที่ผลิตในประเทศไทย ในโครงการต่างๆ ตาม พ.ร.บ.การจัดซื้อจัดจ้างและการบริหารพัสดุภาครัฐ ซึ่งเป็นนโยบายที่เหมาะสมยิ่งในช่วงที่ไทยเร่งฟื้นฟูเศรษฐกิจและมีการพัฒนาโครงสร้างพื้นฐานของประเทศอย่างมาก และหากสามารถขยายผลให้การจัดซื้อจัดจ้างตาม พ.ร.บ. การร่วมลงทุนระหว่างภาครัฐและเอกชน (PPP) ส่งเสริมการใช้พัสดุที่ผลิตในประเทศด้วย ก็จะยิ่งช่วยให้เศรษฐกิจของชาติฟื้นตัวได้ดียิ่งขึ้น โดยเชื่อว่ามาตรการต่างๆ จะทำให้อุตสาหกรรมเหล็กภายในประเทศ สามารถใช้กำลังการผลิตที่มีอยู่ได้มากขึ้น จากปัจจุบันที่ใช้กำลังการผลิตเพียง 33% เท่านั้น ซึ่งถือว่าต่ำมาก”นายนาวากล่าวในตอนท้าย
กระบองเพชร
เงื่อนไขการแสดงความคิดเห็น ซ่อน
โปรดอ่านก่อนแสดงความคิดเห็น
1.กรุณาใช้ถ้อยคำที่ สุภาพ เหมาะสม ไม่ใช้ ถ้อยคำหยาบคาย ดูหมิ่น ส่อเสียด ให้ร้ายผู้อื่น สร้างความแตกแยกในสังคม งดการใช้ถ้อยคำที่ดูหมิ่นหรือยุยงให้เกลียดชังสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์
2.หากพบข้อความที่ไม่เหมาะสม สามารถแจ้งได้ที่อีเมล์ online@naewna.com โดยทีมงานและผู้จัดทำเว็บไซด์ www.naewna.com ขอสงวนสิทธิ์ในการลบความคิดเห็นที่พิจารณาแล้วว่าไม่เหมาะสม โดยไม่ต้องชี้แจงเหตุผลใดๆ ทุกกรณี
3.ขอบเขตความรับผิดชอบของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ อยู่ที่เนื้อหาข่าวสารที่นำเสนอเท่านั้น หากมีข้อความหรือความคิดเห็นใดที่ขัดต่อข้อ 1 ถือว่าเป็นกระทำนอกเหนือเจตนาของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ และไม่เป็นเหตุอันต้องรับผิดทางกฎหมายในทุกกรณี