น้ำมันเป็นสิ่งที่มีความสำคัญต่อเศรษฐกิจ และชีวิตความเป็นอยู่ของประชาชน เพราะเป็นต้นทุนของการขนส่ง และอุตสาหกรรมต่างๆ ทุกครั้งที่ราคาน้ำมันเพิ่มขึ้น อาหาร ข้าวของเครื่องใช้ในชีวิตประจำวัน ทุกสิ่งทุกอย่างจะมีราคาเพิ่มขึ้นตาม ประชาชนจะได้รับผลกระทบอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้
ราคาน้ำมันแต่ละลิตรที่สถานีบริการน้ำมันมีองค์ประกอบใหญ่แบ่งออกเป็น 4 กลุ่ม ประกอบด้วย (1) ราคาหน้าโรงกลั่น คือ ส่วนที่ผู้ประกอบการโรงกลั่น จะได้รับเงินส่วนนี้ไปไทยจะอ้างอิงจากราคาน้ำมันหน้าโรงกลั่นตามตลาดสิงคโปร์ คิดจากต้นทุนเนื้อน้ำมันดิบ บวกกับค่าใช้จ่ายต่างๆ เช่น ค่าการกลั่น ต้นทุนค่าขนส่ง (2) ภาษีต่างๆ ที่รัฐบาลเรียกเก็บเพิ่มเติมจากราคาน้ำมัน ประกอบด้วยภาษีเทศบาล จัดเก็บโดยกระทรวงการคลัง ในอัตราร้อยละ 10 ของภาษีสรรพสามิต ตาม พ.ร.บ.ภาษีสรรพสามิต พ.ศ.2560 มาตรา 150และจัดส่งให้กระทรวงมหาดไทยเพื่อนำมาใช้ในการพัฒนาท้องถิ่น ภาษีมูลค่าเพิ่มจัดเก็บ ร้อยละ 7 ของราคาขายส่งน้ำมันเชื้อเพลิง และจัดเก็บอีกร้อยละ 7 ของค่าการตลาดน้ำมันเชื้อเพลิงแต่ละชนิด (3) เงินกองทุนต่างๆ ประกอบด้วย 2 ส่วน คือ3.1 เงินกองทุนน้ำมันเชื้อเพลิง จัดเก็บตามประกาศคณะกรรมการบริหารกองทุนน้ำมันเชื้อเพลิง (กบน.) เป็นเงินสำรองไว้ใช้ เพื่อรักษาเสถียรภาพราคาขายปลีกน้ำมันในประเทศไม่ให้เกิดความผันผวน กรณีที่ราคาน้ำมันตลาดโลกปรับตัวสูงขึ้นมาก จะนำเงินส่วนนี้มาพยุงราคาขายปลีกในประเทศ โดย น้ำมันแต่ละชนิดจะมีอัตราการเรียกเก็บแตกต่างกัน 3.2 กองทุนเพื่อส่งเสริมการอนุรักษ์พลังงาน จัดเก็บตามประกาศคณะกรรมการนโยบายพลังงานแห่งชาติ (กพช.) เพื่อส่งเสริมสนับสนุนพลังงานทางเลือก พลังงานทดแทน เพื่อเพิ่มประสิทธิภาพและลดการใช้พลังงาน (4) ค่าการตลาด ร้อยละ 10-18 คือ ส่วนที่เป็นต้นทุน ค่าใช้จ่าย และกำไรของธุรกิจค้าปลีกน้ำมันทั้งระบบ ตั้งแต่การจัดการคลังน้ำมัน การขนส่งน้ำมันมายังสถานีบริการ รวมถึงการให้บริการของสถานีบริการที่เติมน้ำมันแต่ละลิตรให้กับประชาชน เงินส่วนนี้ จึงเปรียบเสมือนกำไรของธุรกิจค้าส่งและค้าปลีกน้ำมัน
น้ำมันดีเซล เป็นน้ำมันหลักที่ใช้ในการขนส่ง เพราะมีราคาถูกกว่าน้ำมันหลายชนิด จึงใช้กับบรรดารถบรรทุกชนิดต่างๆ มีผลเป็นต้นทุนของสินค้าทุกประเภท แม้รถบรรทุกจะใช้น้ำมันดีเซล แต่รถของผู้มีอันจะกิน ราคาแพงหลายรุ่น กลับออกแบบมาเพื่อใช้กับน้ำมันดีเซล ที่เป็นน้ำมันราคาถูก
จากโครงสร้างราคาน้ำมันข้างต้น มีการเรียกร้องลดการจัดเก็บภาษีสรรพสามิตน้ำมันดีเซลลงเพื่อช่วยพยุงให้ราคาน้ำมันไม่ให้แพงขึ้น และใช้อุดหนุนราคาน้ำมันดีเซลด้วยเงินกองทุนน้ำมันเชื้อเพลิงเพิ่มขึ้น
กฎกระทรวง กําหนดพิกัดอัตราภาษีสรรพสามิต (ฉบับที่ 22) พ.ศ. 2565 ได้ออกตามมติคณะรัฐมนตรีได้มีมติ เมื่อวันที่ 16 พฤษภาคม พ.ศ. 2565 มีเนื้อหาสำคัญ คือ ต่ออายุลดภาษีสรรพสามิต น้ำมันดีเซล ให้เป็น 5 บาทต่อลิตรไปอีก 2 เดือน ตั้งแต่ 21 พฤษภาคม ถึง 20 กรกฎาคม พ.ศ. 2565 เพื่อบรรเทาภาระค่าใช้จ่ายของประชาชนและภาคการขนส่ง แต่ราคาขายปลีก ยังคงพุ่งสูงขึ้น เนื่องจากราคาน้ำมันในตลาดโลกที่มีความผันผวน
ราคาน้ำมันในปัจจุบันมีราคาที่เพิ่มสูงขึ้นอย่างมาก ทั้งนี้ มีส่วนมาจากค่าการกลั่นน้ำมันในปัจจุบันที่เพิ่มสูงขึ้นกว่า 10 เท่าจากปีที่ผ่านๆ มา ข้อมูลเมื่อวันที่ 10 มิถุนายน พ.ศ. 2565 อยู่ที่ประมาณ 8.56 บาทต่อลิตร จากราคาน้ำมันดิบในตลาดโลกต้นทุนอยู่ที่ 25.92 บาทต่อลิตร ส่วนราคาน้ำมันสำเร็จรูปอยู่ที่ 34.48 บาทต่อลิตร
นักการเมืองและนักวิชาการบางคนเสนอให้กระทรวงพาณิชย์ใช้อำนาจตาม พ.ร.บ.ว่าด้วยราคาสินค้าและบริการ พ.ศ. 2542 โดยคณะกรรมการกลางว่าด้วยราคาสินค้าและบริการ ที่มีรัฐมนตรีว่าการกระทรวงพาณิชย์เป็นประธาน เข้ามากำกับดูแลค่าการกลั่นน้ำมัน สามารถใช้อำนาจกำหนดอัตรากำไรของสินค้าควบคุมได้ เพื่อช่วยให้ราคาขายปลีกน้ำมันลดลง แต่รัฐมนตรีว่าการกระทรวงพาณิชย์กลับมีความเห็นว่า กระทรวงพลังงานต้องมาดูแลและรับผิดชอบเรื่องนี้ เนื่องจากน้ำมันเป็นสินค้าเฉพาะ มีข้อกฎหมายเฉพาะในการกำกับดูแล คือ พ.ร.บ.คณะกรรมการนโยบายพลังงานแห่งชาติ มาตรา 6 (2) กำหนดอำนาจหน้าที่ของคณะกรรมการนโยบายพลังงานแห่งชาติ ให้กำหนดหลักเกณฑ์และเงื่อนไขในการกำหนดราคาพลังงาน ให้สอดคล้องกับนโยบายและแผนการพัฒนาและบริหารพลังงานของประเทศ
นอกจากนี้ ตามพ.ร.บ.กองทุนน้ำมันเชื้อเพลิง พ.ศ. 2562 ตามมาตรา 5 ให้มีการจัดตั้งกองทุนน้ำมันเชื้อเพลิง ที่มีวัตถุประสงค์เพื่อรักษาเสถียรภาพระดับราคาน้ำมันเชื้อเพลิงในสถานการณ์วิกฤตน้ำมัน
กลายเป็นวิวาทะระหว่าง ผู้ที่เสนอความเห็น และรัฐมนตรีว่าการกระทรวงพาณิชย์ ที่มีความเห็นไม่ตรงกัน ผลสุดท้ายประชาชนได้แต่เฝ้ามองด้วยความสงสัยว่า ใครเป็นผู้มีอำนาจในการกำกับดูแลราคาน้ำมัน ที่เป็นสินค้าควบคุมกันแน่ ทั้งที่มีอำนาจทางกฎหมายอยู่ในมือ
สาเหตุหนึ่งที่น้ำมันมีราคาแพง เพราะรัฐบาลเคยมีนโยบายส่งเสริมให้นำน้ำมันพืช มาผสมกับน้ำมันดีเซล เป็นน้ำมันไบโอดีเซล เพื่อช่วยดันราคาน้ำมัน ที่มาจากพืชซึ่งได้จากต้นปาล์ม ปัจจุบันราคา น้ำมันปาล์มมีราคาสูงขึ้นแล้ว อาจไม่จำเป็นต้องใช้หลักการนี้ต่อไป แต่ยังทำอยู่
การแก้ปัญหาน้ำมันแพง ยังสามารถนำเรื่องภาษีลาภลอย (Windfall Tax) ที่มีกำหนดไว้ในพระราชบัญญัติปิโตรเลียม ซึ่งให้อำนาจรัฐบาลเรียกเก็บภาษีเพิ่มขึ้นในกรณีที่ส่วนต่างจากราคากลั่นน้ำมันสูงขึ้นมากจากราคาตลาด ที่ทำให้บริษัทปิโตรเลียมที่มีโรงกลั่นน้ำมันมีรายได้มากขึ้น รัฐบาลมีอำนาจเก็บภาษีมากขึ้น เพื่อนำมาใช้พัฒนาประเทศ
เมื่อมีผู้แสดงความคิดเห็นในเรื่องนี้ ในขณะที่ผู้คนส่วนใหญ่ไม่ทราบว่ารัฐบาลมีอำนาจใน เรื่องภาษีลาภลอย รัฐบาล ได้ออกมาชี้แจงว่า รัฐบาลทราบดีอยู่แล้วและกำลังทำอยู่ ทั้งที่ก่อนหน้านี้รัฐบาลไม่เคยกล่าวถึงประเด็นนี้เลย
ทุกวันนี้ ประชาชนรู้สึกสับสนว่า รัฐบาลมีอำนาจทางกฎหมาย ที่จะควบคุมราคาน้ำมันได้อย่างจริงจัง ประชาชนเพียงแต่สงสัยว่า รัฐบาลได้ใช้อำนาจที่มีอยู่ในการแก้ปัญหาน้ำมันแพงอย่างจริงจังแค่ไหน
เงื่อนไขการแสดงความคิดเห็น ซ่อน
โปรดอ่านก่อนแสดงความคิดเห็น
1.กรุณาใช้ถ้อยคำที่ สุภาพ เหมาะสม ไม่ใช้ ถ้อยคำหยาบคาย ดูหมิ่น ส่อเสียด ให้ร้ายผู้อื่น สร้างความแตกแยกในสังคม งดการใช้ถ้อยคำที่ดูหมิ่นหรือยุยงให้เกลียดชังสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์
2.หากพบข้อความที่ไม่เหมาะสม สามารถแจ้งได้ที่อีเมล์ online@naewna.com โดยทีมงานและผู้จัดทำเว็บไซด์ www.naewna.com ขอสงวนสิทธิ์ในการลบความคิดเห็นที่พิจารณาแล้วว่าไม่เหมาะสม โดยไม่ต้องชี้แจงเหตุผลใดๆ ทุกกรณี
3.ขอบเขตความรับผิดชอบของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ อยู่ที่เนื้อหาข่าวสารที่นำเสนอเท่านั้น หากมีข้อความหรือความคิดเห็นใดที่ขัดต่อข้อ 1 ถือว่าเป็นกระทำนอกเหนือเจตนาของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ และไม่เป็นเหตุอันต้องรับผิดทางกฎหมายในทุกกรณี