บริษัทหลักทรัพย์(บล.)เคจีไอ(ประเทศไทย)วิเคราะห์หุ้นบริษัท ศรีนานาพร มาร์เก็ตติ้ง หรือ SNNP ผู้ผลิตสินค้า F&B ซึ่งมีสถานะทางการตลาดแข็งแกร่งในกลุ่ม mass market มีแบรนด์สินค้าของตัวเองบริหารจัดการช่องทางการจัดจำหน่ายได้ดี ขายผ่านช่องทาง MT 57% และผ่าน TT 47% ทำให้บริหารจัดการมาร์จิ้นได้ โครงสร้างยอดขายแบ่งเป็น 1) เครื่องดื่ม 45% และ ขนมขบเคี้ยว 55% 2) ยอดขายในประเทศ 80% และส่งออก 20% SNNP เป็นบริษัทแรกที่เริ่มผลิตเครื่องดื่ม jelly drink โดยใช้แบรนด์ “Jele” ทำให้มีส่วนแบ่งตลาดสูงที่สุด ธุรกิจขนมขบเคี้ยว “Bento” เป็นแบรนด์ที่ติดหนึ่งในห้าแบรนด์ขนมขบเคี้ยวสำหรับนักท่องเที่ยว นอกจากนี้ แบรนด์เครื่องดื่มตามฤดูกาลในเอเชีย “Magic Farm” ยังครองส่วนแบ่งตลาดหลักทั้งในช่องทาง MT และ TT
ธุรกิจในประเทศ (80% ของรายได้รวม) กำลังฟื้นตัวขึ้นเนื่องจากอุปสงค์ pent-up demand หลัง COVID หนุนให้รายได้โตถึงสองหลัก QTD (จาก +7% YoY ใน 1Q65 และ 8% ในปี 2564) และยังได้แรงหนุนจากการวางจำหน่ายสินค้าใหม่ รวมถึงการจับจ่ายใช้สอยของนักท่องเที่ยวต่างชาติสินค้าใหม่ที่วางจำหน่ายได้แก่ 1) เครื่องดื่มผสมกัญชาภายใต้แบรนด์ “Magic Farm” 2) “Jele” รสใหม่ 3) ขนมขบเคี้ยวรสใหม่ ซึ่งสินค้าใหม่ทุกรายการได้รับการตอบรับจากตลาด ท่ามกลางการปรับขึ้นราคาขายปลีกเพื่อสะท้อนต้นทุนที่สูงขึ้น เราคาดว่าจะทำให้บริษัทบริหารจัดการ margin ได้ในช่วงที่เผชิญแรงกดดันจากการที่ราคาต้นทุนวัตถุดิบหลักสูงขึ้น
ในช่วงสองสามปีที่ผ่านมา บริษัทได้ขยายธุรกิจในต่างประเทศ (20% ของรายได้) ส่งออกสินค้าจากประเทศไทยไปยังกลุ่มประเทศ CLMV เป็นหลัก (72% ของธุรกิจส่งออก หรือ 15% ของรายได้รวม) การส่งออกกำลังเติบโตเร็วขึ้นเนื่องจากการฟื้นตัวเศรษฐกิจในปี 2565 และคาดว่าจะเร่งตัวขึ้นในปี 2566 จากการเริ่มเปิดโรงงานผลิตแห่งใหม่ในเวียดนาม และกัมพูชาใน 2H65 ซึ่งโรงงานใหม่ในทั้งสองประเทศจะช่วยให้ขยายธุรกิจในต่างประเทศได้เร็วขึ้นเนื่องจากต้นทุนวัตถุดิบจะถูกลง 15-18% จะทำให้เพิ่มการจัดแคมเปญการตลาดเพื่อสร้างการเติบโตได้ ซึ่งบริษัทรายได้ส่งออกเติบโตแข็งแกร่งที่ประมาณ +20% QoQ และ +50% YoY ในช่วงเดือนเมษายน-พฤษภาคม เวียดนามจะเป็นตลาดหลักที่บริษัทให้ความสำคัญ ทั้งนี้ SNNP ลงทุนไป 20 ล้านดอลลาร์ ในการสร้างโรงงานใหม่ที่เวียดนาม และลงทุนในโรงงานกัมพูชาเพื่อเพิ่มรายได้จากกัมพูชา จากการขยายกำลังผลิตส่วนนี้จะทำให้ตลาดส่งออกเติบโตจากปัจจุบันที่มียอดขาย 800-900 ล้านบาทต่อปี เป็นประมาณ 3 พันล้านบาทต่อปี
บริษัทมีโอกาสจะเพิ่ม margin ได้จากการขายธุรกิจในต่างประเทศ ถึงแม้ว่าราคาสินค้าโภคภัณฑ์ที่เพิ่มขึ้นจะทำให้ต้นทุนการผลิต และต้นทุน logistic สูงขึ้น แต่การปรับขึ้นราคาขายปลีกของสินค้าบางรายการจะช่วยให้รักษาสมดุลของมาร์จิ้น เอาไว้ได้ในระยะสั้น เรามองว่า margin จะดีขึ้นในระยะยาวจากการเปิดโรงงานผลิตใหม่ในเวียดนามจะทำให้ต้นทุนการผลิตลดลง โดยคาดว่า margin จะเริ่มดีขึ้นในปลายปี 2565-2566 เป็นต้นไป
ปัจจัยเสี่ยงจากแรงกดดันทางด้าน Margin, ผลขาดทุนจากธุรกิจการจัดจำหน่าย, การเกิดข้อพิพาทของธุรกิจครอบครัว
ที่มา : บล.เคจีไอ (ประเทศไทย)
เงื่อนไขการแสดงความคิดเห็น ซ่อน
โปรดอ่านก่อนแสดงความคิดเห็น
1.กรุณาใช้ถ้อยคำที่ สุภาพ เหมาะสม ไม่ใช้ ถ้อยคำหยาบคาย ดูหมิ่น ส่อเสียด ให้ร้ายผู้อื่น สร้างความแตกแยกในสังคม งดการใช้ถ้อยคำที่ดูหมิ่นหรือยุยงให้เกลียดชังสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์
2.หากพบข้อความที่ไม่เหมาะสม สามารถแจ้งได้ที่อีเมล์ online@naewna.com โดยทีมงานและผู้จัดทำเว็บไซด์ www.naewna.com ขอสงวนสิทธิ์ในการลบความคิดเห็นที่พิจารณาแล้วว่าไม่เหมาะสม โดยไม่ต้องชี้แจงเหตุผลใดๆ ทุกกรณี
3.ขอบเขตความรับผิดชอบของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ อยู่ที่เนื้อหาข่าวสารที่นำเสนอเท่านั้น หากมีข้อความหรือความคิดเห็นใดที่ขัดต่อข้อ 1 ถือว่าเป็นกระทำนอกเหนือเจตนาของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ และไม่เป็นเหตุอันต้องรับผิดทางกฎหมายในทุกกรณี