ข่าวการควบรวมกิจการ ทรู-ดีแทคซึ่งเป็นผู้ให้บริการโทรศัพท์มือถืออยู่ในความสนใจของประชาชนเป็นจำนวนมาก เพราะถือเป็นเรื่องใกล้ตัว แต่เป็นที่น่าเสียดาย ที่มีการสื่อสารที่คลาดเคลื่อน จนกระทั่งสังคมสับสนเกี่ยวกับการควบรวมดังกล่าว ในอย่างน้อย 2 กรณีดังนี้
1. คณะกรรมการกิจการกระจายเสียง กิจการโทรทัศน์ และกิจการโทรคมนาคมแห่งชาติ(กสทช.) มีอำนาจและหน้าที่ในการควบคุมราคาค่าบริการ และที่ผ่านมาค่าบริการโทรศัพท์มือถือได้ลดลงมาตลอด เมื่อเปรียบกับสินค้าอื่นๆที่ราคาสูงขึ้นมาอย่างต่อเนื่อง แม้ในช่วงของภาวะเงินเฟ้อ
2. อำนาจของ กสทช. ในการพิจารณาและอนุมัติการควบรวมในครั้งนี้ ซึ่งเป็นการที่บริษัท 2 บริษัท มาควบรวมกันและเกิดเป็นบริษัทขึ้นใหม่ (A+B=C) เป็นกรณีที่เรียกว่า Amalgamation มีความแตกต่างกับอีกรูปแบบ ที่บริษัทที่หนึ่งเข้าไปซื้อหุ้นในบริษัทที่สองในลักษณะที่เป็นการ Take Over
รูปแบบ Amalgamation เป็นไปตาม ประกาศ กสทช. เรื่องมาตรการกำกับดูแลการรวมธุรกิจในกิจการโทรคมนาคม พ.ศ. 2561โดยมีอย่างน้อย 2 หน่วยงานภายนอกที่เป็นกลางที่ได้ศึกษาวิจัยข้อกฎหมายที่เกี่ยวข้อง โดย 2 หน่วยงานได้แก่
ก. จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย ซึ่งเป็นสถาบันการศึกษาชั้นนำของประเทศที่ กสทช. ได้มอบหมายให้ทำการศึกษาวิจัยในเรื่องนี้ โดยเป็นการร่วมงานวิเคราะห์โดยคณะอาจารย์ทางด้านนิติศาสตร์ วิศวกรรมศาสตร์ เศรษฐศาสตร์ และสังคมศาสตร์
งานวิจัยทางวิชาการของจุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย ได้สรุปว่า ในปัจจุบัน กสทช. ยังไม่มีอำนาจตามกฎหมายในการอนุญาตหรือไม่อนุญาตให้เกิดการรวมธุรกิจได้ แต่ประกาศ กสทช. เรื่องมาตรการกำกับดูแล การรวมธุรกิจในกิจการโทรคมนาคม พ.ศ. 2561 กำหนดให้ใช้มาตรการเฉพาะสำหรับผู้มีอำนาจเหนือตลาดอย่างมีนัยสำคัญในตลาดโทรคมนาคมที่เกี่ยวข้อง มาบังคับใช้เพื่อป้องกันความเสียหายต่อประโยชน์สาธารณะ
จึงสรุปได้ความว่า กสทช. ไม่มีอำนาจอนุญาตหรือไม่อนุญาตการควบรวม ทรู-ดีแทค แต่มีอำนาจในการกำหนดมาตรการเฉพาะเพื่อควบคุมได้
ข. คณะกรรมการกฤษฎีกา ซึ่งเป็นองค์กรที่ให้ความเห็นและให้คำปรึกษาทางกฎหมายแก่รัฐบาลและหน่วยงานทางราชการ ที่ได้ทำความคิดเห็นสืบเนื่องมาจากข้อหารือของ กสทช. ที่ได้สอบถามความเห็นทางกฎหมายเกี่ยวกับเรื่องนี้
แม้คณะกรรมการกฤษฎีกาจะมีความเห็นว่า ข้อหารือเกี่ยวกับการควบรวมกิจการโทรคมนาคม ที่ถามมาส่วนใหญ่เป็นเรื่องเกี่ยวกับการใช้ดุลพินิจตามกฎหมายของ กสทช. ในประเด็นเรื่องของการใช้ดุลพินิจคณะกรรมการกฤษฎีกาจึงไม่อาจให้ความเห็นได้ อีกทั้ง กสทช. เป็นองค์กรอิสระ การกำหนดมาตรการหรือเงื่อนไขต่างๆ จึงเป็นอำนาจหน้าที่ของ กสทช. เอง
แต่คณะกรรมการกฤษฎีกา ได้มีความเห็นว่ากสทช. มีอำนาจกำหนดเงื่อนไขหรือนำมาตรการเฉพาะสำหรับผู้มีอำนาจเหนือตลาดอย่างมีนัยสำคัญในตลาดโทรคมนาคมที่เกี่ยวข้อง มาใช้บังคับเพื่อป้องกันความเสียหายต่อประโยชน์สาธารณะได้ตามที่ปรากฏในข้อ 12 ของประกาศ กสทช. เรื่อง มาตรการกำกับดูแลการควบรวมในกิจการโทรคมนาคม พ.ศ. 2561 การดำเนินการใดๆ ในการรวมธุรกิจจึงต้องดำเนินการตามประกาศ กสทช. พ.ศ. 2561 และการใช้อำนาจของ กสทช. ต้องคำนึงถึงความได้สัดส่วนระหว่างการคุ้มครองผู้บริโภคกับการพัฒนากิจการโทรคมนาคมด้วย
จึงเป็นความเห็นที่สอดคล้องกับ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย ที่ต้องพิจารณาตาม ประกาศ กสทช. พ.ศ. 2561 ซึ่ง ประกาศ กสทช. พ.ศ. 2561กสทช. ไม่มีอำนาจอนุญาตหรือไม่อนุญาตการควบรวม ทรู-ดีแทค แต่มีอำนาจในการกำหนดมาตรการเฉพาะเพื่อควบคุมได้
ในเมื่อความเห็นเกี่ยวกับการควบรวมกิจการโทรคมนาคมของ 2 องค์กร ซึ่งเป็นที่ยอมรับและเชื่อถือสอดคล้องกัน จึงสมควรที่จะเป็นไฟนำทางให้ กสทช. สามารถตัดสินใจเดินหน้าต่อในทางที่ถูกต้องและถูกกฎหมายต่อไป ท่ามกลางความสับสนของสังคมในเรื่องอำนาจของ กสทช. ดังกล่าว
เงื่อนไขการแสดงความคิดเห็น ซ่อน
โปรดอ่านก่อนแสดงความคิดเห็น
1.กรุณาใช้ถ้อยคำที่ สุภาพ เหมาะสม ไม่ใช้ ถ้อยคำหยาบคาย ดูหมิ่น ส่อเสียด ให้ร้ายผู้อื่น สร้างความแตกแยกในสังคม งดการใช้ถ้อยคำที่ดูหมิ่นหรือยุยงให้เกลียดชังสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์
2.หากพบข้อความที่ไม่เหมาะสม สามารถแจ้งได้ที่อีเมล์ online@naewna.com โดยทีมงานและผู้จัดทำเว็บไซด์ www.naewna.com ขอสงวนสิทธิ์ในการลบความคิดเห็นที่พิจารณาแล้วว่าไม่เหมาะสม โดยไม่ต้องชี้แจงเหตุผลใดๆ ทุกกรณี
3.ขอบเขตความรับผิดชอบของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ อยู่ที่เนื้อหาข่าวสารที่นำเสนอเท่านั้น หากมีข้อความหรือความคิดเห็นใดที่ขัดต่อข้อ 1 ถือว่าเป็นกระทำนอกเหนือเจตนาของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ และไม่เป็นเหตุอันต้องรับผิดทางกฎหมายในทุกกรณี