ช่วงนี้ สมาชิกสภาผู้แทนราษฎร หรือ สส. ของแต่ละพรรค ได้โยกย้ายพรรคกันอย่างมีนัยสำคัญ เพราะสภาผู้แทนราษฎรกำลังใกล้จะครบวาระในวันที่ 24 มีนาคม 2566
ทั้งนี้เป็นไปตามรัฐธรรมนูญ พ.ศ. 2560 ที่กำหนดให้จัดเลือกตั้งสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรใหม่ซึ่งเป็นการเลือกตั้งทั่วไป ภายใน 45 วัน นับแต่วันที่สภาผู้แทนราษฎรสิ้นสุดและคณะกรรมจัดการเลือกตั้ง (กกต.)ได้ประกาศกำหนดการเลือกตั้งไว้แล้วในวันที่ 7 พฤษภาคม 2566
กำหนดเวลาเลือกตั้ง มีผลต่อสมาชิกภาพและคุณสมบัติของผู้สมัครเข้ารับเลือกตั้งนั้นเอง กล่าวคือรัฐธรรมนูญ พ.ศ. 2560 ได้กำหนดเกณฑ์คุณสมบัติของผู้สมัครรับการเลือกตั้งสำหรับการเลือกตั้ง สส. ทั่วไปว่า ผู้ที่จะสมัครรับเลือกตั้งต้องเข้าสังกัดเป็นสมาชิกพรรคการเมืองพรรคใดพรรคหนึ่งเป็นเวลาต่อเนื่องกันไม่น้อยกว่า 90 วัน นับจนถึงวันเลือกตั้ง มิฉะนั้นจะไม่มีสิทธิเข้ารับการเลือกตั้ง
เว้นแต่กรณียุบสภาผู้แทนราษฎร สมาชิกภาพสังกัดพรรคนั้นเป็นระยะเวลาติดต่อกันไม่น้อยกว่า 30 วัน นับถึงวันเลือกตั้ง
ด้วยเหตุนี้บรรดาผู้สมัคร สส.หน้าใหม่ หรือ สส. หรือว่าที่ผู้สมัคร สส.ที่จะย้ายพรรค จะต้องกระทำตามหลักเกณฑ์นี้ บรรดา สส. ที่ต้องการย้ายพรรคหรือเข้าเป็นสมาชิกพรรคการเมืองใหม่ต้องลาออกจากสมาชิกพรรคเดิมก่อน ซึ่งจะส่งผลให้สถานะการเป็น สส. สิ้นสุดลง หรือหากถูกขับออกจากพรรค ก็จะต้องหาพรรคสังกัดภายใน 30 วัน หรือมีคำตัดสินให้ต้องยุบพรรค สส. ต้องหาพรรคสังกัดภายใน 60 วัน หากพ้นระยะเวลาดังกล่าวสมาชิกภาพการเป็น สส. จะสิ้นสุดลง หรือการขาดการประชุมเกิน 1 ใน 4 ของจำนวนวันประชุมในสมัยการประชุมโดยไม่ได้รับอนุญาตจากประธานสภาผู้แทนราษฎร จะถือว่าขาดสมาชิกภาพการเป็น สส. ด้วยเช่นกัน
สำหรับ สส.ที่มีความประสงค์ที่จะย้ายพรรคในกรณีที่สภาอยู่ครบวาระจะค่อนข้างเสียเปรียบ เพราะ สส.รายนั้นต้องลาออกจากพรรคและสิ้นสุดสมาชิกภาพก่อนครบวาระ เพื่อสมัครพรรคใหม่ให้อยู่ครบ 90 วัน ซึ่งเมื่อเปรียบเทียบนับกับวันที่สภาผู้แทนราษฎรจะครบวาระในวันที่ 24 มีนาคม 2566 ถือได้ว่าไม่ถึง 90 วัน จึงไม่สามารถย้ายพรรคได้
แต่หากนายกรัฐมนตรียุบสภา สส. ที่ต้องการย้ายพรรคสามารถลาออกจากพรรคเดิมหลังการยุบสภา และมีเวลาสมัครพรรคใหม่แบบไม่ต้องเร่งรีบมากนัก เพราะมีเวลา 30 วัน ก่อนกำหนดเลือกตั้ง จึงเป็นเรื่องที่จะต้องเดาใจพล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี ว่าจะตัดสินใจยุบสภาเมื่อใด
ดังนั้นในสถานการณ์ปัจจุบัน ทั้งพรรครัฐบาลและพรรคฝ่ายค้าน ต่างต้องการให้ สส. ย้ายเข้าสังกัดพรรคตน เพื่อจะได้มีจำนวน สส. มากขึ้นและมีอำนาจในการต่อรองเมื่อจัดตั้งรัฐบาล
เมื่อพรรครวมไทยสร้างชาติประกาศตนอย่างชัดเจนว่า สนับสนุน พลเอกประยุทธ์ จันทร์โอชา เป็นนายกรัฐมนตรี และท่านเองได้แสดงท่าทีชัดเจนว่า จะเข้าสมัครเป็นสมาชิกพรรคนี้ ยิ่งเป็นการตอกย้ำว่า นายกรัฐมนตรีจะเลือกยุบสภามากกว่าที่จะอยู่ครบวาระ เพื่อจะได้มีโอกาสให้ สส. ทยอยเข้าพรรคมากขึ้น
หลังการเลือกตั้งใหญ่ จะมีการเลือกนายกรัฐมนตรีโดยสส. และวุฒิสมาชิกตามรัฐธรรมนูญฉบับปัจจุบัน ซึ่งวุฒิสมาชิกมีถึง 250 เสียง
ที่มาของวุฒิสมาชิกมาจากการแต่งตั้ง ถือเป็นฐานเสียงของนายกรัฐมนตรีคนปัจจุบัน ผู้ที่สนใจและติดตามการเมืองประเมินว่า พลเอกประวิตร วงษ์สุวรรณ หัวหน้าพรรคพลังประชารัฐ มีฐานเสียงในวุฒิสภามากกว่า 100 เสียง ในขณะที่พลเอกประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรีคนปัจจุบัน มีฐานเสียงในวุฒิสภาน้อยกว่า เพราะเมื่อหักจากจำนวนของวุฒิสมาชิกที่สนับสนุนพลเอกประวิตร วงษ์สุวรรณ แล้ว มีเพียงบางส่วนที่สนับสนุนพลเอกประยุทธ์ จันทร์โอชา และมีเสียงอิสระ ที่ยังไม่ตัดสินใจว่าจะเลือกใคร
การเลือกตั้งสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรที่จะเกิดขึ้นในเร็ววันนี้ แม้พรรคการเมืองที่ประกาศตัวสนับสนุน พลเอกประยุทธ์ จันทร์โอชา เป็นนายกรัฐมนตรี อาจจะไม่ได้รับเลือกตั้งได้คะแนนเสียงมากที่สุด แต่กลับจะมีโอกาสเป็นแกนนำจัดตั้งรัฐบาล เหมือนคราวที่แล้ว
ในอดีตสมัยรัฐบาล ม.ร.ว.คึกฤทธิ์ ปราโมช หัวหน้าพรรคกิจสังคม ผู้เป็นเจ้าของตำนาน รัฐบาลสหพรรค เพราะมีพรรคร่วมรัฐบาลกว่า 16 พรรค
ในการเลือกตั้งเมื่อวันที่ 26 มกราคม 2518 เนื่องจาก สส.ในพรรคมีเพียง 18 ที่นั่ง แต่รวมเสียงได้เป็นรัฐบาล ม.ร.ว.คึกฤทธิ์จากเสียง 16 พรรคตั้งรัฐบาลได้
ย้อนกลับมาในสมัยปัจจุบัน แม้วุฒิสมาชิก จะมีเสียงเลือกนายกรัฐมนตรีตามรัฐธรรมนูญได้ถึง 250 เสียงอย่างไรก็ตาม คงต้องออกเสียงโดยฟังกระแสของสังคม และคงไม่กล้าที่จะออกเสียงเลือกนายกรัฐมนตรีฝืนความต้องการของประชาชน
ยิ่งใกล้การเลือกตั้ง สมาชิกสภาผู้แทนราษฎร กลิ่นอาย และบรรยากาศของการเลือกตั้งใหญ่กลับมาอีกครั้ง ธุรกิจที่เกี่ยวกับการเลือกตั้ง ไม่ว่าจะเป็น ธุรกิจเกี่ยวกับการพิมพ์ประกาศโฆษณาหาเสียง ป้ายหาเสียงการจัดเลี้ยง เริ่มขยับตัว และเตรียมตัวสำหรับการเลือกตั้งที่จะทำให้เศรษฐกิจหมุนเวียน
ส่วนการลงทุนโดยนักลงทุนขนาดใหญ่ อาจมีท่าทีชะลอการลงทุน เพื่อรอดูนโยบายของรัฐบาลที่ชัดเจนว่าจะสนับสนุนและส่งเสริมการลงทุนระดับชาติขนาดไหน
ผลการเลือกตั้งจะเป็นอย่างไร เสียงของประชาชนจะเป็นผู้ชี้ขาดตัดสิน
เงื่อนไขการแสดงความคิดเห็น ซ่อน
โปรดอ่านก่อนแสดงความคิดเห็น
1.กรุณาใช้ถ้อยคำที่ สุภาพ เหมาะสม ไม่ใช้ ถ้อยคำหยาบคาย ดูหมิ่น ส่อเสียด ให้ร้ายผู้อื่น สร้างความแตกแยกในสังคม งดการใช้ถ้อยคำที่ดูหมิ่นหรือยุยงให้เกลียดชังสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์
2.หากพบข้อความที่ไม่เหมาะสม สามารถแจ้งได้ที่อีเมล์ online@naewna.com โดยทีมงานและผู้จัดทำเว็บไซด์ www.naewna.com ขอสงวนสิทธิ์ในการลบความคิดเห็นที่พิจารณาแล้วว่าไม่เหมาะสม โดยไม่ต้องชี้แจงเหตุผลใดๆ ทุกกรณี
3.ขอบเขตความรับผิดชอบของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ อยู่ที่เนื้อหาข่าวสารที่นำเสนอเท่านั้น หากมีข้อความหรือความคิดเห็นใดที่ขัดต่อข้อ 1 ถือว่าเป็นกระทำนอกเหนือเจตนาของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ และไม่เป็นเหตุอันต้องรับผิดทางกฎหมายในทุกกรณี