หากเรานึกย้อนไป คงจะจำกันได้ว่านโยบายเปิดรับนักท่องเที่ยวของไทยเริ่มประกาศเป็นทางการเมื่อประมาณวันที่ 11 ตุลาคม 2564 โดยท่านนายกรัฐมนตรีเป็นผู้แถลงด้วยตนเอง (หลังจาก ศูนย์บริหารสถานการณ์การแพร่ระบาดของโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 (ศบค.) (ประกาศเมื่อประมาณวันที่ 23 กันยายน 2565) มีมติให้ยกเลิกการประกาศใช้ พ.ร.ก.ฉุกเฉิน ทั่วประเทศและยุบ ศบค. ตั้งแต่ 1 ต.ค. 2565 เป็นต้นไป)
บรรดาภาคธุรกิจเอกชน ประชาชนทั่วไป รวมถึงภาครัฐ ล้วนรอกำหนดวันที่ชาวต่างแดนจะกลับมาเยือน ซึ่งจะยกระดับให้เศรษฐกิจของประเทศกลับคืนมาดั่งเดิม ท่ามกลางสถานการณ์การระบาดของเชื้อโควิด-19 ที่ผ่อนคลายและอยู่ในความควบคุมของหน่วยงานด้านสาธารณสุขของรัฐบาล
มาตรการเดิมที่กำหนดไว้กล่าวโดยย่อๆ ที่สำคัญมี 6 ประการคือ 1) ผู้เดินทางต้องรับวัคซีนโควิดอย่างน้อย 2 เข็ม 2) ผู้โดยสารที่มาจากประเทศที่มีมาตรการป้องกันไม่ให้ผู้ที่ติดโควิดเดินทางกลับเข้าประเทศจะต้องมีประกันสุขภาพวงเงินไม่น้อยกว่า 10,000 ดอลลาร์สหรัฐ 3) สายการบินต้องตรวจสอบเอกสารตามที่กำหนด หากผู้โดยสารไม่สามารถแสดงเอกสารตามกำหนดนี้ได้ ผู้โดยสารดังกล่าว อาจจะถูกทำการตรวจการติดเชื้อณ จุดขาเข้า 4) หากมีอาการทางเดินหายใจให้เลื่อนการเดินทาง 5) แนะนำให้ผู้เดินทางป้องกันตนเองตลอดระยะเวลาที่อยู่ในประเทศ เช่น สวมหน้ากากเมื่ออยู่ในพื้นที่สาธารณะ/ขนส่งสาธารณะ ล้างมือบ่อยๆ และ 6) ในขณะเข้ามาแล้ว หากมีอาการทางเดินหายใจ ให้ตรวจคัดกรองด้วย ATK และหากมีอาการป่วยรุนแรงขึ้นให้ไปตรวจรักษาที่สถานพยาบาล แนะนำให้พักในโรงแรม SHA+ สำหรับผู้ต้องการทำ RT-PCRก่อนเดินทางกลับประเทศ ((SHA+) หมายถึงโรงแรมหรือที่พัก ที่ผ่านมาตรฐานการป้องกันการแพร่ระบาดของโควิด-19 สำหรับนักท่องเที่ยวชาวต่างชาติที่เดินทางเข้าสู่ประเทศไทย โดยมีเงื่อนไขว่าโรงแรมที่พักนั้นๆจะต้องได้รับมาตรฐาน SHA+ ยินยอมรับนักท่องเที่ยวในมาตรการ Test & Go และมีสัญญากับโรงพยาบาลคู่ปฏิบัติการ พร้อมยานพาหนะในการรับส่ง)
“ผู้เดินทางต้องรับวัคซีนโควิดอย่างน้อย 2 เข็ม และการซื้อประกันสุขภาพครอบคลุมการรักษาโควิด” ข้อกำหนด 2 ข้อที่ว่านี้ แม้จะเป็นเพียงแนวปฏิบัติ ที่ไม่ชัดเจนเคร่งครัดมากนัก แต่เป็นแนวปฏิบัติที่สร้างความกังวลใจให้แก่นักท่องเที่ยวแต่ละประเทศรวมถึงภาคธุรกิจภายในประเทศของไทย เพราะดูราวกับจะเป็นการกลับมากระชับมาตรการให้เข้มข้นอีกระดับ หลังจากประเทศไทยได้ปลดล็อกและผ่อนคลายมาตรการทุกอย่างไปแล้ว เมื่อวันที่ 1 ตุลาคม 2565 ที่ประกาศยกเลิกการตรวจสอบเอกสารที่เกี่ยวข้องกับโรคโควิด-19 (เอกสารรับรองการได้รับวัคซีน และผลการตรวจหาเชื้อโควิด-19 สำหรับผู้เดินทางเข้าประเทศไทย) และแถลงการณ์ที่ชัดเจนโดยท่านนายกรัฐมนตรีไปแล้ว ทำให้ภาคธุรกิจโดยเฉพาะ(ธุรกิจท่องเที่ยว) ของไทยต่างพยายามส่งสัญญาณขอความชัดเจนจากรัฐบาลอยู่เนืองๆ
บรรดาสถานที่ท่องเที่ยว โรงแรมที่พัก ต่างลงทุนปรับปรุงภาพลักษณ์ให้เป็นที่ดึงดูดขึ้น ภัตตาคาร ร้านรวงต่างสั่งจองสต๊อกสินค้าไว้ล่วงหน้า เพื่อเตรียมพร้อมสำหรับวันที่ 9 มกราคม 2566 อันเป็นวันแรกที่เพื่อนต่างชาติของเราจะมาเยือนราว 60,000 คน จากข้อมูลการจองเที่ยวบินที่พัก ทุกฝ่ายต่างเฝ้ารอ โดยเพื่อนต่างชาติชุดแรกของเรานี้ส่วนใหญ่เป็นชาวจีน (เปิดประเทศอย่างเป็นทางการเมื่อ 8 มกราคม 2566) (ฟินแลนด์ ฝรั่งเศส อังกฤษ และเยอรมนี บางส่วน) ท่ามกลางกระแสข่าวการแพร่ระบาดของเชื้อโควิด-19 ภายในประเทศจีนที่เริ่มทวีความรุนแรงมากขึ้นเรื่อยๆ
จนเมื่อวันที่ 5 มกราคม 2566 ได้มีการแถลงการณ์ “หลักการยึดหลักเท่าเทียมทุกชาติไม่เลือกปฏิบัติ”ไม่ว่าจะเป็นนักท่องเที่ยวจากยุโรป และประเทศจีนจะต้องมีใบรับรองฉีดวัคซีน 2 เข็ม หรือใบรับรองว่า หายจากโควิดภายใน 6 เดือน และมีประกันสุขภาพ อาจเป็นเพราะความกังวลตามกระแสข่าวการระบาดหนักของเชื้อไวรัสที่เกิดขึ้นในประเทศจีน จนต้องออก “กฎ” ให้มีผลบังคับใช้ในวันถัดมา (ประกาศข้อกำหนดในการเข้าประเทศไทย สำหรับผู้โดยสารระหว่างประเทศ ของสำนักงานการบินพลเรือนแห่งประเทศไทย (กพท.(CAAT)) (ประกาศนักบิน NOTAM : Notice to Airmen) ซึ่งปรากฏมาตรการ 2 ข้อดังกล่าวนี้ชัดเจน โดยระบุให้มีผลบังคับใช้ตั้งแต่วันที่ 9 มกราคม 2566 เป็นต้น)
ข่าวนี้สร้างความสั่นสะเทือนไปทั้งวงการ เพราะนักท่องเที่ยวจากยุโรปหลายประเทศที่ได้จองตั๋วเครื่องบินและรายการท่องเที่ยวที่จะมาประเทศไทย จัดเตรียมตามข้อกำหนดใหม่ของประเทศไทยในขณะนั้นไม่ทัน ต้องยกเลิกการเดินทางมาประเทศไทยอย่างกะทันหันซึ่งมีผลต่อเศรษฐกิจและรายได้ของประเทศไทยทันทีอย่างน่าเสียดาย
ในที่สุดเมื่อวันที่ 9 มกราคม 2566 รัฐบาลได้ประกาศยกเลิกมาตรการควบคุมโควิดสำหรับนักท่องเที่ยวต่างประเทศที่จะเดินทางเข้าประเทศ ให้เท่าเทียมกันทุกประเทศ ไม่ว่าจะเป็นนักท่องเที่ยวจากประเทศแถบยุโรป หรือประเทศจีน
มาตรการดังกล่าวกลายเป็นเพียงแค่ข้อแนะนำทางด้านสาธารณสุข ที่ไม่ถือเป็นข้อบังคับอีกต่อไป
การเปลี่ยนนโยบายแบบเปลี่ยนแปลงกะทันหันจากหน้ามือเป็นหลังมือของรัฐบาล ถือเป็นเรื่องดีที่ทันต่อสถานการณ์ นับว่าเป็นเรื่องที่น่าชมเชย
แต่เป็นสิ่งที่แสดงให้เห็นว่า วิธีการทำงานของรัฐบาลและคนไทย จะไม่ปรึกษาหารือ เพื่อหาแนวทางร่วมกันที่ชัดเจนกับเจ้าหน้าที่ฝ่ายต่างๆ ที่เกี่ยวข้อง ให้ชัดเจน ก่อนที่จะกำหนดเป็นนโยบาย
เหมือนต่างคนต่างทำ พอเกิดปัญหา จึงแก้ปัญหาไม่ใช่เป็นการกำหนดกฎเกณฑ์ข้อบังคับซึ่งเป็นนโยบายที่เป็นการแก้ปัญหาในอนาคตล่วงหน้าตั้งแต่แรก
แม้รัฐบาลจะแก้นโยบายเรื่องมาตรการโควิดสำหรับนักท่องเที่ยวเข้าประเทศไทยได้ทันเวลา แต่นับได้ว่า เป็นเรื่องที่เฉียดฉิวมาก และไม่ควรให้เกิดซ้ำขึ้นอีก
เงื่อนไขการแสดงความคิดเห็น ซ่อน
โปรดอ่านก่อนแสดงความคิดเห็น
1.กรุณาใช้ถ้อยคำที่ สุภาพ เหมาะสม ไม่ใช้ ถ้อยคำหยาบคาย ดูหมิ่น ส่อเสียด ให้ร้ายผู้อื่น สร้างความแตกแยกในสังคม งดการใช้ถ้อยคำที่ดูหมิ่นหรือยุยงให้เกลียดชังสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์
2.หากพบข้อความที่ไม่เหมาะสม สามารถแจ้งได้ที่อีเมล์ online@naewna.com โดยทีมงานและผู้จัดทำเว็บไซด์ www.naewna.com ขอสงวนสิทธิ์ในการลบความคิดเห็นที่พิจารณาแล้วว่าไม่เหมาะสม โดยไม่ต้องชี้แจงเหตุผลใดๆ ทุกกรณี
3.ขอบเขตความรับผิดชอบของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ อยู่ที่เนื้อหาข่าวสารที่นำเสนอเท่านั้น หากมีข้อความหรือความคิดเห็นใดที่ขัดต่อข้อ 1 ถือว่าเป็นกระทำนอกเหนือเจตนาของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ และไม่เป็นเหตุอันต้องรับผิดทางกฎหมายในทุกกรณี