ข่าวเกี่ยวกับการกระทำความผิดอาญา ในความผิดเกี่ยวกับทางเพศ และการใช้ความรุนแรง โดยผู้ที่กระทำความผิดได้รับโทษจำคุกจนถึงที่สุด และพ้นโทษแล้ว แต่กลับกระทำความผิดซ้ำอีกในเรื่องเดิม สร้างความสะเทือนใจ และความกังวลใจให้แก่สังคมเป็นอันมาก
ไม่ว่าจะเป็นกรณีผู้ที่เคยกระทำความผิดฐานข่มขืน ได้รับโทษจำคุกจนพ้นโทษแล้ว ผ่านระยะเวลาอันสั้น กลับกระทำความผิดฐานข่มขืนอีก หรือกรณีที่ผู้กระทำความผิดฐานฆ่าผู้อื่นถึงแก่ความตาย ได้รับโทษจำคุกจนพ้นโทษแล้ว กลับกระทำความผิดฐานฆ่าคนตายซ้ำอีก
ทำให้เกิดคำถามขึ้นมาในสังคมว่า ผู้กระทำความผิดที่ได้รับโทษจำคุกในเรือนจำ ไม่ได้รับการกล่อมเกลาแก้ไขให้กลับมาเป็นคนดีสังคม และควรจะเฝ้าระวังเพื่อป้องกันไม่ให้คนประเภทนี้ กลับมากระทำความผิดเดิมซ้ำอีก
จึงเป็นที่มาของกฎหมายที่มีชื่อว่า พระราชบัญญัติมาตรการป้องกัน การกระทำความผิดซ้ำในความผิดเกี่ยวกับเพศหรือที่ใช้ความรุนแรง พ.ศ. 2556 ซึ่งได้ประกาศลงในราชกิจจานุเบกษาแล้ว และมีผลบังคับใช้ตั้งแต่วันที่ 23 มกราคม 2566
กฎหมายฉบับนี้มุ่งควบคุมความผิดใน 3 กลุ่ม ได้แก่ เพศ, ชีวิตและร่างกายและการเรียกค่าไถ่
มาตรการพิเศษและการปฏิบัติตามกฎหมาย ได้แก่ (1) มาตรการแก้ไขฟื้นฟูผู้กระทำความผิด รวมถึงมาตรการทางการแพทย์ (2) มาตรการเฝ้าระวังนักโทษเด็ดขาดภายหลังพ้นโทษ (3) มาตรการคุมขังภายหลังพ้นโทษ (4) การคุมขังฉุกเฉินโดยมีกลุ่มเป้าหมายคือ ผู้ที่กระทำความผิดในคดีฆาตกรรม การข่มขืนกระทำชำเรา การกระทำความผิดทางเพศกับ
เด็ก การทำร้ายจนเป็นเหตุให้ผู้อื่นถึงแก่ความตาย การทำร้ายร่างกายผู้อื่นจนเป็นเหตุให้ได้รับอันตรายสาหัส รวมทั้งการนำตัวบุคคลไปเรียกค่าไถ่
คุมขัง ตามความในกฎหมายนี้ หมายถึง การควบคุมนักโทษเด็ดขาดภายหลังพ้นโทษ หรือผู้ถูกเฝ้าระวังไว้ในเขตกำหนดเพื่อป้องกันการกระทำความผิดซ้ำ
มาตรการเฝ้าระวังนักโทษเด็ดขาดภายหลังพ้นโทษ เช่น ห้ามเข้าใกล้ผู้เสียหายจากการทำความผิด, ห้ามทำกิจกรรมที่เสี่ยงต่อการกระทำความผิด, ห้ามเข้าเขตกำหนด, ห้ามออกนอกประเทศเว้นแต่จะได้รับอนุญาตจากศาล, ห้ามก่อให้เกิดอันตรายต่อละแวกชุมชนที่ตนพักอาศัย, ให้พักอาศัยในสถานที่ที่กำหนด, ให้พักอาศัยในสถานบำบัดที่กำหนด หรือให้ไปอยู่ภายใต้การดูแลในสถานบำบัดภายใต้การดำเนินการของหน่วยงานต่างๆ, ให้ปฏิบัติตามคำสั่งของเจ้าพนักงานหรือผู้ดูแลสถานที่พักอาศัยหรือสถานบำบัด, ให้มารายงานตัวต่อพนักงานคุมประพฤติ หรือได้รับการเยี่ยมจากพนักงานคุมประพฤติ หรืออาสาสมัครหรือเจ้าหน้าที่อื่นตามเวลาที่กำหนด, ให้ใช้มาตรการทางการแพทย์ หรือมาพบหรือรับการตรวจรักษาจากแพทย์, ให้เข้ารับการบำบัดฟื้นฟูแก้ไข หรือเข้าร่วมกิจกรรมตามที่กำหนด, ให้แจ้งพนักงานคุมประพฤติทราบถึงการเปลี่ยนสถานที่ทำงานหรือการเปลี่ยนงาน, ให้ใช้อุปกรณ์อิเล็กทรอนิกส์ติดตามตัวในการเฝ้าระวัง
ระยะเวลาในการเฝ้าระวังตามมาตรการที่กำหนดไม่เกิน 10 ปีนับแต่วันพ้นโทษ
ในกรณีที่เป็นการสมควรใช้ มาตรการเฝ้าระวัง หรือคุมขังนักโทษเด็ดขาดที่พ้นโทษแล้ว อัยการต้องยื่นคำร้องต่อศาลที่มีเขตอำนาจ เพื่อให้ศาลมีคำสั่ง ตามที่เห็นสมควร โดยที่นักโทษเด็ดขาดมีสิทธิแต่งตั้งทนายความ เพื่อดำเนินการ
คัดค้านได้
กลไกสำคัญในการปฏิบัติตามกฎหมายประกอบด้วย5 หน่วยงานรัฐ คือ
(1) คณะกรรมการป้องกันการกระทำความผิดซ้ำ ทำหน้าที่วางข้อกำหนดนโยบายและให้คำปรึกษาในจัดทำร่างกฎหมายลำดับรอง (กฎกระทรวง ระเบียบ) เพื่อใช้เป็นแนวปฏิบัติของหน่วยงานและเจ้าหน้าที่
(2) สำนักงานศาลยุติธรรม จัดทำร่างข้อบังคับของประธานศาลฎีกาว่าด้วยหลักเกณฑ์ วิธีการและเงื่อนไขในการกำหนดมาตรการป้องกันการกระทำความผิดซ้ำในความผิดเกี่ยวกับเพศหรือที่ใช้ความรุนแรง เพื่อใช้เป็นแนวปฏิบัติให้แก่
ตุลาการในการสั่งการ
(3) สำนักงานอัยการสูงสุด ร่างข้อบังคับของอัยการสูงสุดว่าด้วยการใช้มาตรการแก้ไขฟื้นฟูผู้กระทำความผิด มาตรการเฝ้าระวังนักโทษเด็ดขาดภายหลังพ้นโทษ มาตรการคุมขังภายหลังพ้นโทษและการคุมขังฉุกเฉิน เพื่อใช้เป็นแนวปฏิบัติให้แก่พนักงานอัยการ
(4) กรมราชทัณฑ์ จัดทำร่างกฎกระทรวงกำหนดมาตรการแก้ไขฟื้นฟูผู้กระทำความผิดซ้ำ ตามที่คณะกรรมการป้องกันการกระทำความผิดซ้ำกำหนด และ
(5) กรมคุมประพฤติ จัดทำร่างกฎกระทรวงว่าด้วยหลักเกณฑ์ การปฏิบัติเกี่ยวกับมาตรการป้องกันการกระทำความผิดซ้ำในความผิดเกี่ยวกับเพศหรือที่ใช้ความรุนแรง เพื่อใช้เป็นแนวปฏิบัติให้แก่เจ้าหน้าที่คุมประพฤติในการติดตามและเฝ้าระวังนักโทษเด็ดขาดภายหลังจากพ้นโทษ
นอกจากนี้ยังมีการนำเทคโนโลยีและการสื่อสารยุคดิจิทัลตามนโยบายเทคโนโลยี 4.0 มาใช้ในการบริหารจัดการฐานข้อมูลขนาดใหญ่ (Big Data) ด้านกระบวนการยุติธรรมที่ครอบคลุมถึงข้อมูลอาชญากรรมผู้กระทำผิดซ้ำ (Recidivism Data) ซึ่งหมายถึง ข้อมูลของผู้กระทำความผิดที่ได้รับการลงโทษจากหน่วยงานในกระบวนการฟื้นฟูด้านพฤติกรรม ได้แก่ กรมราชทัณฑ์ กรมคุมประพฤติ รวมถึงกรมพินิจและคุ้มครองเด็กและเยาวชน ที่พ้นโทษแล้วกลับไปกระทำผิดซ้ำ ที่นับเป็นข้อมูลที่สำคัญต่อคณะกรรมการป้องกันการกระทำความผิดซ้ำในการกำหนดนโยบาย ผู้บริหารและเจ้าหน้าที่ในกระบวนการยุติธรรม ในการกำหนดและดำเนินนโยบายที่เหมาะสม เนื่องจากข้อมูลเป็นตัวเลขที่มีนัยสำคัญต่อความปลอดภัยของชุมชนและสังคม รวมถึงการวางแนวทางวิธีการจัดเก็บข้อมูล วิเคราะห์ และใช้ประโยชน์จากฐานข้อมูลการกระทำผิดซ้ำในระบบฐานข้อมูลขนาดใหญ่ที่ครอบคลุมและมีประสิทธิภาพเชื่อมโยงใช้ประโยชน์ทั้งในประเทศและระหว่างประเทศตามความร่วมมือในภูมิภาคอาเซียน +3 (ASEAN+3) คือ กรอบความร่วมมือระหว่างประเทศสมาชิกสมาคมประชาชาติเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ (อาเซียน) กับประเทศอื่นนอก กลุ่มอาเซียนอีก 3 ประเทศ ได้แก่ ประเทศจีน ประเทศเกาหลีใต้ และประเทศญี่ปุ่น เพื่อส่งเสริมความร่วมมือในระดับอนุภูมิภาคเอเชียตะวันออกซึ่งในแต่ละประเทศมีวิธีการจัดเก็บข้อมูลที่แตกต่างกัน เพื่อใช้วิเคราะห์แนวโน้มในการวางนโยบายป้องกันและแก้ไขอาชญากรรม ที่มีแนวโน้มเพิ่มขึ้นและขยายตัวออกไปยังสู่ความร่วมมือไปสู่ภูมิภาคอาเซียน ในการลดความรุนแรงการกระทำผิดซ้ำระหว่างประเทศร่วมกันในอนาคต
หากทุกฝ่ายให้ความร่วมมือในการปฏิบัติตามกฎหมายฉบับใหม่นี้อย่างจริงจัง จะช่วยแก้ไขปัญหาการทำความผิดอาญาซ้ำ ซึ่งจะเป็นผลดีต่อเศรษฐกิจ และประเทศโดยส่วนรวม
เงื่อนไขการแสดงความคิดเห็น ซ่อน
โปรดอ่านก่อนแสดงความคิดเห็น
1.กรุณาใช้ถ้อยคำที่ สุภาพ เหมาะสม ไม่ใช้ ถ้อยคำหยาบคาย ดูหมิ่น ส่อเสียด ให้ร้ายผู้อื่น สร้างความแตกแยกในสังคม งดการใช้ถ้อยคำที่ดูหมิ่นหรือยุยงให้เกลียดชังสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์
2.หากพบข้อความที่ไม่เหมาะสม สามารถแจ้งได้ที่อีเมล์ online@naewna.com โดยทีมงานและผู้จัดทำเว็บไซด์ www.naewna.com ขอสงวนสิทธิ์ในการลบความคิดเห็นที่พิจารณาแล้วว่าไม่เหมาะสม โดยไม่ต้องชี้แจงเหตุผลใดๆ ทุกกรณี
3.ขอบเขตความรับผิดชอบของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ อยู่ที่เนื้อหาข่าวสารที่นำเสนอเท่านั้น หากมีข้อความหรือความคิดเห็นใดที่ขัดต่อข้อ 1 ถือว่าเป็นกระทำนอกเหนือเจตนาของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ และไม่เป็นเหตุอันต้องรับผิดทางกฎหมายในทุกกรณี