วันพฤหัสบดี ที่ 13 พฤศจิกายน พ.ศ. 2568
ข่าวเกี่ยวกับการโฆษณาผ่านสื่อโซเชียล ทางอินเตอร์เนตเชิญชวนให้นักท่องเที่ยวมาเช่าที่พักรีสอร์ทสุดหรู บนเขาแสมสาร สัตหีบ จังหวัดชลบุรี ที่เห็นทัศนียภาพทะเลรอบภูเขา รวมทั้งสถานที่ของกองทัพเรือ ในราคาคืนละ 18,000 บาท แต่ในราคาพิเศษ ลดเหลือราคาคืนละ 15,000 บาท สร้างความน่าสนใจ และความน่าประหลาดใจเป็นอย่างมากในเวลาเดียวกัน
ที่พักรีสอร์ทแห่งนี้ มีลักษณะคล้ายตู้คอนเทนเนอร์จำนวน 6 หลัง แต่ละหลังมีสระว่ายน้ำส่วนตัว ตั้งหันหน้าออกทะเล บริเวณหน้าผายอดเขาหลวงพ่อดำ ตำบลแสมสาร อ.สัตหีบ จ.ชลบุรี อยู่ในจุดที่สามารถมองเห็นทิวทัศน์บริเวณช่องแสมสารได้โดยรอบ ซึ่งเป็นที่ตั้งของหน่วยทำการราชการทหารเรือที่สำคัญๆ ซึ่งถือเป็นยุทธศาสตร์สำคัญของความมั่นคงแห่งชาติทางทะเล อยู่บนภูเขา ทำให้เกิดคำถามขึ้นว่า รีสอร์ทหรูแห่งนี้ สร้างขึ้นมาได้อย่างไร? ใครเป็นผู้อนุญาต? และการอนุญาตได้ดำเนินการถูกต้องตามกฎหมายหรือไม่?
ประเด็นที่น่าสนใจมีว่า เหตุใด ในกรณีนี้ กองทัพเรือ จึงมีอำนาจในการสั่งระงับกิจการเอกชนและการพัฒนาพื้นที่ดังกล่าวได้ โดยอาศัยเหตุผลเพียงว่า ที่ตั้งรีสอร์ทเป็นจุดยุทธศาสตร์สำคัญทางทหาร และเป็นการดำเนินการผิดวัตถุประสงค์ไปจากที่ขออนุญาตเช่าพื้นที่ราชพัสดุ? เพราะอันที่จริงแล้วควรจะเป็นอำนาจของ องค์การบริหารส่วนตำบลแสมสาร ที่มีอำนาจในการดูแลพื้นที่นี้ตั้งแต่เริ่มก่อสร้างรีสอร์ท หรือกรมป่าไม้ (พระราชบัญญัติ ป่าไม้ พ.ศ. 2484 และ มาตรา 25 มาตรา 26 พระราชบัญญัติป่าสงวนแห่งชาติ พ.ศ. 2507) ซึ่งเป็นหน่วยงานที่มีอำนาจระงับกิจการเอกชนและเพิกถอนเอกสารแสดงกรรมสิทธิ์ในที่ดินที่หน่วยงานรัฐออกให้แก่เอกชนที่ดำเนินการลักลอบบุกรุกใช้ประโยชน์ที่ดินเขตป่าสงวนและที่ดินสาธารณะเหมือนข่าวใหญ่ที่ผ่านๆ มา หรือโดยเฉพาะอย่างยิ่งในกรณีนี้ ควรจะเป็นอำนาจของ กระทรวงการคลังซึ่งถือกรรมสิทธิ์ในที่ดินราชพัสดุตรงนี้ (มาตรา 5 แห่งพระราชบัญญัติที่ราชพัสดุ พ.ศ.2518) โดยกรมธนารักษ์ ซึ่งเป็นผู้มีอำนาจอนุญาตตามที่เอกชนรายนี้ยื่นคำขอ เป็นผู้ดำเนินการระงับโดยตรง
ตามประวัติศาสตร์เมื่อ พ.ศ 2465 ระบุว่า พื้นที่บริเวณนั้นเป็นพื้นที่สงวนหวงห้าม(เขตทรงสงวน) ซึ่งเป็นเขตที่ดินที่ในหลวงรัชกาลที่ 6 ทรงมีพระบรมราชโองการ พระราชทานให้แก่กองทัพเรือ ให้ไว้ใช้ในราชการของกองทัพเรือสืบทอดมาแต่ครั้งในอดีต
โดยสภาพทางภูมิศาสตร์เป็นที่ดินบริเวณแถบแนวแถวชายฝั่งทะเลแสมสาร
อำเภอสัตหีบและเกาะเรียงรายตลอดแนว อันเป็นจุดยุทธศาสตร์ที่สำคัญทางทะเล แบ่งออกเป็น 2 ส่วนคือ ส่วนที่หวงห้ามกรรมสิทธิ์(เขตทรงสงวนโดยแท้ หรือเขตพระราชทานกรรมสิทธิ์)ไว้ใช้เพื่อในกิจการกองทัพเรือเท่านั้น กับส่วนที่หวงห้ามมิให้มีการจับจองซื้อขายได้กรรมสิทธิ์กัน แต่ให้ราษฎรไทยสามารถเข้าจับจองทำไร่นาและถากถางได้ตามสมควร
โดยส่วนนี้ให้กระทรวงทัพเรือ (กองทัพเรือในปัจจุบัน) เป็นผู้มีอำนาจอนุญาต(อ้างอิงคำตอบข้อหารือข้อกฎหมายของสำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกา เรื่องเสร็จที่ 289/2538 บันทึกเรื่อง สถานะทางกฎหมายของที่สงวนหวงห้ามของกองทัพเรือ(ฐานทัพเรือสัตหีบ) กองทัพเรือจึงเป็นหน่วยงานหลักซึ่งมีอำนาจในการอนุญาตให้ผู้ขอเข้าครอบครองใช้ประโยชน์ในที่ดินดังกล่าว ตามความพระราชกฤษฎีกา กำหนดเขตหวงห้าม ในท้องที่ อ.บางละมุง จ.ชลบุรี พ.ศ 2479 มาตรา 4 ซึ่งเป็กฎหมายที่ตราขึ้นและมีผลบังคับใช้ต่อเนื่องมาตลอด
แม้ในปัจจุบันที่ดินพื้นที่สาธารณประโยชน์ส่วนนี้จะถือเป็น ที่ราชพัสดุ ที่มีกระทรวงการคลัง เป็นผู้ถือกรรมสิทธิ์ ตามความพระราชบัญญัติ ที่ราชพัสดุพ.ศ.2518 มาตรา 11 โดยมี กรมธรารักษ์ ซึ่งเป็นหน่วยงานในสังกัด เป็นหน่วยงานที่มีอำนาจดูแลรับผิดชอบในการเปลี่ยนแปลงทะเบียนสิทธิผู้ครอบครองใช้ประโยชน์ในที่ราชพัสดุที่มีอยู่ทั่วประเทศไทย รวมถึงในพื้นที่ซึ่งเป็นประเด็นดังกล่าวนี้ที่ยังคงมอบให้กองทัพเรือเป็นผู้ครอบครองใช้ประโยชน์ในที่ดินส่วนนี้ตามเจตนารมณ์ของกฎหมายเดิม (พระราชกฤษฎีกา) กองทัพเรือจึงเป็นหน่วยงานหลัก ที่มีอำนาจในการอนุญาตในชั้นต้นแก่ผู้ใดก็ตามที่ขอเข้าครอบครองใช้ประโยชน์ในที่ราชพัสดุส่วนนี้ต่อกรมธนารักษ์
นอกเหนือจากกรมธนารักษ์จะมีอำนาจในการนำที่ราชพัสดุออกให้ส่วนราชการใช้หรือเช่าเพื่อทำประโยชน์ในกิจการของส่วนราชการ หรือให้ภาคเอกชนเช่าเพื่อการอยู่อาศัยหรือการทำเกษตรกรรมแล้ว ปัจจุบันยังสามารถนำที่ราชพัสดุไปจัดการจัดหาประโยชน์โดยการทำสัญญาต่างตอบแทนอย่างอื่นในเชิงเศรษฐกิจด้วย ตามแนวนโยบายการพัฒนาที่ราชพัสดุในเชิงพาณิชย์ เน้นการบริหาร ทรัพยากรที่ราชพัสดุที่มีอยู่อย่างจำกัดให้คุ้มค่ากับราคาของที่ดิน และ เกิดประโยชน์สูงสุดแก่รัฐ อย่างมีประสิทธิภาพ ทั้งในด้านเศรษฐกิจ สังคมและสิ่งแวดล้อมควบคู่กันไปอีกด้วย แต่ทั้งนี้ต้องได้รับ อนุมัติจากรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลัง ตามนัยข้อ 23 แห่งกฎกระทรวงว่าด้วยหลักเกณฑ์และวิธีการปกครอง ดูแล บำรุงรักษา ใช้และจัดหาประโยชน์เกี่ยวกับที่ราชพัสดุ พ.ศ. 2545 ออกตามความในพระราชบัญญัติที่ราชพัสดุ พ.ศ. 2518 ตัวอย่างเช่นโครงการพัฒนาที่ราชพัสดุแปลงหมายเลขทะเบียนที่ ปข.242 โครงการพัฒนาที่ราชพัสดุรายบริษัท โรงแรมชายทะเล จำกัด ปลูก สร้างบนที่ดินราชพัสดุ แปลงหมายเลขทะเบียนที่ ปข.242 ตำบลหนองแกอำเภอหัวหิน จังหวัดประจวบคีรีขันธ์ ชื่อ โรงแรม Hyatt Regency Hua Hin มีจำนวนห้องพักทั้งสิ้น205 ห้อง มูลค่า โครงการประมาณ 1,420,541,177 บาท (อ้างอิงข้อมูลจากเว็บไซต์กรมธนารักษ์ https://www.treasury.go.th)
อย่างไรก็ตาม กองทัพเรือเป็นผู้มีอำนาจในชั้นต้นที่จะพิจารณาให้อนุญาต
กรณีรีสอร์ทหรู บนเขาแสมสาร เพราะถือเป็นยุทธศาสตร์ของกองทัพเรือ ซึ่งเป็นเรื่องที่ถูกต้องเพราะเรื่องเกี่ยวกับความมั่นคงของประเทศ
ประเด็นจึงมีว่า กองทัพเรือได้มีคำสั่งให้รื้อรีสอร์ทแห่งนั้น แต่เหตุใดจึงปล่อยให้มีการก่อสร้างรีสอร์ทแห่งนั้น จนเสร็จสมบูรณ์และลงประกาศโฆษณาให้ นักท่องเที่ยวมาเช่า เพื่อดูทัศนียภาพทะเลบนเขาแสมสาร
หากเป็นเรื่องที่ไม่ถูกต้อง ควรจะสั่งระงับ การก่อสร้าง ตั้งแต่รีสอร์ทเริ่มก่อสร้าง หรือยังก่อสร้างไม่เสร็จไม่ใช่จนเสร็จเรียบร้อยแล้ว โฆษณาให้เช่าแล้วจึงมีคำสั่งให้รื้อ
ในกรณีที่รีสอร์ทอยู่ในตำแหน่งยุทธศาสตร์ที่สำคัญ การดำเนินงานของกองทัพเรือน่าจะฉับไวและรวดเร็วกว่านี้ เพราะเป็นความมั่นคงของประเทศชาติ
ไม่ว่าผลจะเป็นอย่างไร สิ่งที่เกิดขึ้นยังเป็นคำถามที่คาใจ แก่ผู้ที่สนใจติดตามสถานการณ์โดยทั่วไป

เช็กด่วน!‘สิงห์บุรี’กางพื้นที่เตือนระวัง‘น้ำท่วม’ สั่งอพยพปชช.พื้นที่เสี่ยงขึ้นที่สูง
เช็กก่อนออกจากบ้าน!! เส้นรัชดาภิเษก ขาเข้า ตรงข้ามศาลอาญา น้ำยังท่วมขังทำรถติดยาวสะสม
โซเชียลแห่ชื่นชม! 'เปิ้ล นาคร'ลุยน้ำท่วม พาทีมหมอช่วยผู้ป่วยติดเตียง
DITP รุกตลาดแอฟริกาใต้ ขยายโอกาสการค้าการลงทุนไทย
ลดค่าธรรมเนียมส่งออกข้าว หนุนเกษตรกร–รายย่อยโกอินเตอร์

เงื่อนไขการแสดงความคิดเห็น ซ่อน
โปรดอ่านก่อนแสดงความคิดเห็น
1.กรุณาใช้ถ้อยคำที่ สุภาพ เหมาะสม ไม่ใช้ ถ้อยคำหยาบคาย ดูหมิ่น ส่อเสียด ให้ร้ายผู้อื่น สร้างความแตกแยกในสังคม งดการใช้ถ้อยคำที่ดูหมิ่นหรือยุยงให้เกลียดชังสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์
2.หากพบข้อความที่ไม่เหมาะสม สามารถแจ้งได้ที่อีเมล์ online@naewna.com โดยทีมงานและผู้จัดทำเว็บไซด์ www.naewna.com ขอสงวนสิทธิ์ในการลบความคิดเห็นที่พิจารณาแล้วว่าไม่เหมาะสม โดยไม่ต้องชี้แจงเหตุผลใดๆ ทุกกรณี
3.ขอบเขตความรับผิดชอบของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ อยู่ที่เนื้อหาข่าวสารที่นำเสนอเท่านั้น หากมีข้อความหรือความคิดเห็นใดที่ขัดต่อข้อ 1 ถือว่าเป็นกระทำนอกเหนือเจตนาของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ และไม่เป็นเหตุอันต้องรับผิดทางกฎหมายในทุกกรณี