ผลการนับคะแนนเสียงเลือกตั้ง สมาชิกสภาผู้แทนราษฎร (สส.) เมื่อวันที่ 14 พ.ค. 2566 ที่ผ่านมา แม้คณะกรรมการการเลือกตั้ง (กกต.) จะยังไม่ประกาศผลการเลือกตั้งอย่างไม่เป็นทางการ เพราะจะต้องใช้เวลาอีก 60 วัน นับจากวันเลือกตั้งเสร็จสิ้นจึงจะรับรองผลการเลือกตั้ง เนื่องจากต้องรอว่า จะมีการร้องเรียนหรือการคัดค้านเกี่ยวกับผลการเลือกตั้งหรือไม่
ในขณะนี้ต้องถือว่า พรรคก้าวไกลโดย พิธา ลิ้มเจริญรัตน์ ผู้ที่ถูกเสนอชื่อเป็นนายกรัฐมนตรี หรือแคนดิเดตนายกฯ เป็นพรรคที่ได้รับการเลือกตั้ง ที่มีจำนวน สส.มากที่สุด จึงมีสิทธิที่จะจัดตั้งรัฐบาลก่อนเป็นพรรคอันดับแรก และพิธา ลิ้มเจริญรัตน์ มีโอกาสที่จะเป็นนายกรัฐมนตรีคนต่อไปเป็นคนที่30 ของประเทศไทย
สถานการณ์ที่ปรากฏตามสื่อ จะเห็นว่าบรรดาพรรคการเมืองที่เคยเป็นขั้วฝ่ายค้าน สามารถรวมตัวกันได้เป็นอย่างดี และเปิดโอกาสให้พรรคก้าวไกลเป็นพรรคอันดับแรกที่จะจัดตั้งรัฐบาล
แม้ว่าขณะนี้สามารถรวมตัวกันได้ถึง 313 เสียง จากจำนวน สส.ในสภาทั้งหมดที่มี 500 เสียง หรือได้ถึง 63% ของจำนวนเสียงทั้งหมดที่มีอยู่ในสภาผู้แทนราษฎร แต่ยังนับว่าไม่พอ ตามรัฐธรรมนูญฉบับปัจจุบัน ผู้มีสิทธิลงคะแนนเลือกนายกรัฐมนตรี มาจากที่ประชุมร่วมกันระหว่าง สส. และวุฒิสมาชิก
จำนวน สส. มีทั้งหมด 500 เสียง(เป็น สส.เขต 400 เสียง และ สส.บัญชีรายชื่ออีก 100 เสียง) วุฒิสมาชิกมีทั้งหมด 250 เสียง รวมสองสภาเป็น 750 เสียง ดังนั้นผู้ที่จะเป็นนายกรัฐมนตรีต้องได้รับเสียงสนับสนุน จากทั้งสองสภารวมกัน อย่างน้อยครึ่งหนึ่งต้องไม่ต่ำกว่า 375 เสียง
แม้พรรคก้าวไกล จะมีเสียงในสภาผู้แทนราษฎรถึง 63% แต่คงไม่สามารถรวมกับพรรคอื่นเพื่อจับขั้วเป็นรัฐบาลเพิ่มได้อีก เพราะติดเงื่อนไข ที่พรรคก้าวไกล
ได้ประกาศตัวอย่างชัดเจนว่า จะเสนอแก้ไขประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 112 เกี่ยวกับความผิดฐานหมิ่นพระบรมเดชานุภาพ ซึ่งพรรคการเมืองฝ่ายที่เหลือได้แสดงท่าทีอย่างชัดเจนแล้วว่า จะไม่แก้ไขหรือยกเลิกมาตรา 112 ดังกล่าว
แสดงว่าพรรคก้าวไกล จะต้องได้รับเสียงสนับสนุนจากวุฒิสมาชิกบางส่วน ซึ่งเป็นเรื่องที่ไม่ง่ายเลย พิธา ลิ้มเจริญรัตน์ จึงจะสามารถเป็นนายกรัฐมนตรีได้
แม้ว่าพิธา ลิ้มเจริญรัตน์ จะสามารถฝ่าด่านวุฒิสมาชิกมาได้ ยังจะต้องเผชิญวิบากกรรมเกี่ยวกับการถือหุ้นไอทีวี ซึ่งเป็นหุ้นสื่อมวลชนอย่างหนึ่งที่มีผู้ร้องเรียนต่อกกต.แล้วว่า เป็นการกระทำที่ขัดต่อรัฐธรรมนูญปัจจุบัน และพระราชบัญญัติประกอบรัฐธรรมนูญว่าด้วยการเลือกตั้ง สส. พ.ศ. 2561 มาตรา 42 (3)
กรณีนี้ พิธา ลิ้มเจริญรัตน์ ถือหุ้นไอทีวีมาตั้งแต่การเลือกตั้งเมื่อปี พ.ศ. 2562 แล้ว แต่กกต. ไม่เคยพิจารณาถึงเรื่องนี้ และไม่เคยมีผู้ร้องเรียนเกี่ยวกับเรื่องนี้มาก่อน แม้จะอ้างว่า เป็นการถือหุ้นไอทีวีในฐานะผู้จัดการมรดกของบิดา แต่ พิธาลิ้มเจริญรัตน์ ยังมีสิทธิในหุ้นนั้นในฐานะทายาทโดยธรรมตามกฎหมายอยู่ดี
ประเด็นมีว่า แม้ไอทีวีจะเป็นหุ้นสื่อมวลชนที่ชัดเจน แต่ปัจจุบันไม่ได้ประกอบกิจการ เพราะไอทีวีได้เลิกกิจการไปแล้ว รวมทั้งได้ปลดพนักงานออกอีกด้วย แต่ไอทีวียังมีสถานะเป็นนิติบุคคลอยู่ เนื่องจากยังมีคดีความฟ้องร้องเรียกค่าเสียหายจากการผิดสัญญา ซึ่งยังรอผลคดีตามกฎหมายอยู่
หากพิธา ลิ้มเจริญรัตน์ จะรอดผลจากวิบากกรรมนี้ จะเป็นกรณีเดียว ที่ศาลรัฐธรรมนูญพิจารณาแล้วมีความเห็นในประเด็นที่ว่า แม้หุ้นไอทีวี เป็นหุ้นสื่อมวลชนที่ต้องห้ามตามกฎหมาย แต่ปัจจุบันไม่ได้ประกอบกิจการสื่อมวลชนแล้ว การถือหุ้นไอทีวีดังกล่าว จึงไม่มีผลต่อการเสนอข้อมูลข่าวสาร ที่มีลักษณะเป็นการชี้นำเพื่อประโยชน์ทางการเมือง
สิ่งที่เราต้องคำนึงมีว่า ศาลรัฐธรรมนูญไม่ได้เป็นศาลที่เกี่ยวข้องกับทางกฎหมายแต่เพียงอย่างเดียว แต่เป็นศาลที่เกี่ยวข้องกับทางการเมืองด้วย เพราะชื่อก็บอกอยู่แล้วว่า เป็นศาลรัฐธรรมนูญ และรัฐธรรมนูญเป็นเรื่องที่เกี่ยวข้องกับการปกครองของประเทศจึงไม่อาจหลีกเลี่ยงหรือหนีห่างจากการเมืองได้
ไม่ว่า พิธา ลิ้มเจริญรัตน์ จะรอดจากวิบากกรรม และจะเป็นนายกรัฐมนตรีคนใหม่หรือไม่ก็ตาม สิ่งที่ปรากฏให้เห็นในขณะนี้คือ ตลาดหุ้นขานรับด้วย ราคาหุ้นตกลงอย่างมาก และต่อเนื่อง เพราะนักลงทุนและนักธุรกิจที่เป็นเจ้าของกิจการ ต่างวิตกกังวลว่า นโยบายของรัฐบาลใหม่ที่จะเพิ่มค่าแรงขั้นต่ำและเงินเดือนขั้นต่ำ ทางภาคธุรกิจและภาคอุตสาหกรรมจะไม่สามารถปฏิบัติตามได้ และอาจต้องทยอยปิดตัวหรือย้ายฐานการผลิตไปประเทศเพื่อนบ้านอื่น อย่างเช่น ประเทศเวียดนามที่มีค่าแรงถูกกว่ามาก
ปัญหาจึงอยู่ที่ว่า รัฐบาลใหม่จะเรียกความเชื่อมั่นจากภาคธุรกิจและภาคอุตสาหกรรมกลับคืนมาได้อย่างไร
หนทางการเป็นนายกรัฐมนตรีคนใหม่นี้ ยังอีกยาวไกล
เงื่อนไขการแสดงความคิดเห็น ซ่อน
โปรดอ่านก่อนแสดงความคิดเห็น
1.กรุณาใช้ถ้อยคำที่ สุภาพ เหมาะสม ไม่ใช้ ถ้อยคำหยาบคาย ดูหมิ่น ส่อเสียด ให้ร้ายผู้อื่น สร้างความแตกแยกในสังคม งดการใช้ถ้อยคำที่ดูหมิ่นหรือยุยงให้เกลียดชังสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์
2.หากพบข้อความที่ไม่เหมาะสม สามารถแจ้งได้ที่อีเมล์ online@naewna.com โดยทีมงานและผู้จัดทำเว็บไซด์ www.naewna.com ขอสงวนสิทธิ์ในการลบความคิดเห็นที่พิจารณาแล้วว่าไม่เหมาะสม โดยไม่ต้องชี้แจงเหตุผลใดๆ ทุกกรณี
3.ขอบเขตความรับผิดชอบของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ อยู่ที่เนื้อหาข่าวสารที่นำเสนอเท่านั้น หากมีข้อความหรือความคิดเห็นใดที่ขัดต่อข้อ 1 ถือว่าเป็นกระทำนอกเหนือเจตนาของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ และไม่เป็นเหตุอันต้องรับผิดทางกฎหมายในทุกกรณี