เมื่อวันที่ 23 พฤษภาคม 2566 ที่ผ่านมานายพิธา ลิ้มเจริญรัตน์ หัวหน้าพรรคก้าวไกล ซึ่งเป็นพรรคที่ได้คะแนนเสียงมากที่สุดในการเลือกตั้งที่ผ่านมาได้จัดงานแถลงข่าว ลงนามในบันทึกข้อตกลงทางการเมือง หรือ MOU ทางการเมืองเพื่อจัดตั้งรัฐบาล ร่วมกับ 8 พรรคการเมือง มีเนื้อหา
ข้อตกลงเชิงนโยบายบริหารร่วมกันเมื่อจัดตั้งรัฐบาล จำนวน 23 ข้อ
คำว่า MOU จึงเป็นประเด็นขึ้นมาตามข่าวว่า หมายถึงอะไร และมาจากคำว่าอะไร MOU ย่อมาจากคำว่า“Memorandum of Understanding”ในภาษาอังกฤษ และมักจะเรียกทับศัพท์ว่า เอ็ม โอ ยู ซึ่งหมายถึง บันทึกข้อตกลง หรือบันทึกความเข้าใจในภาษาไทย
ในแวดวงธุรกิจ ถือเป็นข้อตกลงเบื้องต้น ที่เซ็นหรือลงนามกันอย่างง่ายๆ ซึ่งจะต้องเจรจาตกลงและลงนามกันในสัญญาในรายละเอียดต่อไป
ปัญหาที่ผู้คนมักสงสัยอยู่ที่ตรงว่า หากมีการกระทำที่ผิดต่อบันทึกข้อตกลงเบื้องต้น หรือ MOU จะถือเป็นสัญญาอย่างหนึ่งหรือไม่? และจะฟ้องเรียกร้องให้รับผิดได้หรือไม่?คำตอบ ในทางธุรกิจคือ ถือเป็นสัญญาชนิดหนึ่งที่ทำกันขึ้นอย่างง่ายๆ และหากมีการประพฤติผิดต่อบันทึกข้อตกลงนี้ ถือว่าฟ้องร้องบังคับกันได้ตามกฎหมาย เพียงแต่ฝ่ายที่เป็นโจทก์ฟ้อง มีภาระการพิสูจน์ และต้องออกแรงพิสูจน์ ถึงข้อตกลงและความเป็นมามากกว่าสัญญาทั่วไป เพราะในบันทึกข้อตกลงหรือ MOU มักจะไม่ได้กำหนดรายละเอียดไว้เท่าที่ควร
โดยทั่วไป บริบทข้อตกลงทางธุรกิจที่ระบุใน “สัญญา” จะแตกต่างกับบริบทข้อตกลงทางธุรกิจใน MOUตรงที่ว่า บริบทข้อตกลงในบันทึกข้อตกลง หรือ MOU นั้น มักจะเป็นบริบทข้อตกลงมีลักษณะเปิดกว้าง เป็นกรอบแนวทางปฏิบัติ เป็นเพียงข้อปฏิบัติอันเป็นจุดเริ่มต้นที่จะผูกพันระหว่างคู่สัญญาในการดำเนินการตามวัตถุประสงค์ดำเนินธุรกิจของคู่สัญญา ซึ่งมักจะไม่เขียนลงรายละเอียดทางปฏิบัติที่มีลักษณะเป็น
ข้อยุ่งยากที่ต้องใช้เวลานานในการเจรจาของคู่สัญญาทุกฝ่าย เพื่อตัดสินใจให้ได้มาซึ่งข้อสรุปสุดท้ายของการยินยอมปฏิบัติผูกพันระหว่างคู่สัญญา เพื่อนำมาเขียนเป็นเนื้อหาข้อตกลงในบันทึกข้อตกลงนั้น (ซึ่งหากพ้นช่วงเวลานี้ไปและคู่สัญญาทุกฝ่ายยังตกลงกันไม่ได้ อาจเป็นอุปสรรคในการดำเนินธุรกิจตามวัตถุประสงค์ของบันทึกข้อตกลง)
คู่สัญญาของบันทึกข้อตกลง แต่ละฝ่ายอาจต้องการใช้เวลาตัดสินใจกำหนดข้อตกลงต่างหากไว้ภายหลัง โดยทิ้งท้ายเป็นติ่งไว้ทำข้อตกลงย่อยในรายละเอียดภายหลังที่แต่ละฝ่ายลงนามรับเป็นหลักการที่ระบุในบันทึกข้อตกลงไว้
ทั้งนี้ ผลบังคับตามกฎหมายระหว่างกันของคู่สัญญาที่ผูกพันภายใต้เงื่อนไขบันทึกข้อตกลง สามารถยกเลิกข้อตกลงยุติการปฏิบัติตามข้อตกลง หรือเรียกร้องให้ปฏิบัติตามข้อตกลงได้หากแต่ละฝ่ายปฏิบัติผิดข้อตกลงหรือไม่ปฏิบัติตามข้อตกลงที่ระบุไว้ รวมถึงสามารถเรียกร้องค่าเสียหายได้ด้วยหากมีการระบุกันไว้ชัดเจน หรือแม้ไม่ระบุกันไว้ก็อาจเรียกร้องค่าเสียหายได้เป็นการเฉพาะเรื่องตามพฤติกรรมที่ละเมิดข้อตกลงตามกฎหมาย และการดำเนินการที่เป็นสาระสำคัญของบันทึกข้อตกลงทางธุรกิจนั้นคู่สัญญาแต่ละฝ่าย ตลอดจนผู้มีส่วนได้เสียตามเงื่อนไขข้อตกลงในบันทึกข้อตกลงทำหน้าที่เป็นผู้บริหารข้อตกลง ตามบันทึกข้อตกลงนั้น ปฏิบัติตามเงื่อนไข และติดตามความคืบหน้าการดำเนินการตามเงื่อนไข ให้เป็นไปตามกำหนดระยะเวลาที่ปกติจะระบุกันไว้
ในส่วนของ บันทึกข้อตกลงทางการเมือง หรือ MOU ทางการเมือง ระหว่างแต่ละพรรคการเมืองในการจัดตั้งรัฐบาลที่ปรากฏขึ้นหลังผลการเลือกตั้งครั้งนี้ แม้จะมีบริบทเนื้อหาไปในเชิงนโยบายร่วมในการบริหารประเทศภายหลังการจัดตั้งรัฐบาลก็ตาม ก็ยังถือเป็น “สัญญา” ที่ทำขึ้นง่ายๆ ในเบื้องต้น มีผลบังคับระหว่างกันตามกฎหมายเช่นเดียวกับสัญญาหรือข้อตกลงทางธุรกิจดังที่กล่าวมา
บันทึกข้อตกลงทางการเมืองดังกล่าวนี้ อาจถือเป็นปฏิญญาทางการเมืองของฝ่ายพรรคการเมืองร่วมจัดตั้งรัฐบาล ซึ่งอาจเจตนาออกมาให้มีความหมายเป็นนัย เพื่อคลายความกังวลแก่บรรดาท่านสมาชิกวุฒิสภา (สว.) ที่กังวลในประเด็นนโยบายการแก้ไข ประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 112 เกี่ยวกับการหมิ่นพระบรมเดชานุภาพ และรวมถึงการนิรโทษกรรมซึ่งได้ประกาศไว้ตอนหาเสียง แต่มิได้ระบุไว้ในบันทึกข้อตกลงทางการเมืองนี้ เพื่อแสดงจุดยืนว่า จะไม่กระทำสองนโยบายดังกล่าวภายใต้การบริหารของรัฐบาลที่จะจัดตั้งนี้ (แต่อาจจะกระทำโดยพรรคการเมืองที่หาเสียงไว้โดยลำพัง ก็เป็นอีกเรื่องหนึ่ง)
จะเห็นได้ว่า ประเด็นเรื่อง ประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 112 พรรคก้าวไกลในขณะนี้ อาจเกรงว่าจะไม่ได้จัดตั้งรัฐบาลจึงไม่ได้ระบุว่า จะยกเลิกมาตรา 112 ไว้ใน MOU แต่จะดำเนินการเองในฐานะพรรคการเมืองซึ่งย้อนแย้งในตัวเองเพราะหากพรรคก้าวไกลได้จัดตั้งรัฐบาล พิธาต้องเป็นนายกรัฐมนตรี และหากกฎหมายที่พรรคก้าวไกลเสนอแก้ไขมาตรา 112 แล้วไม่ผ่านสภานิติบัญญัติ พิธาในฐานะนายกรัฐมนตรี จะลาออกจากตำแหน่งหรือไม่
ในขณะเดียวกันพรรคการเมืองบางพรรค ที่เคยหาเสียงไว้ว่า จะแก้ไขมาตรา 112 ขณะนี้ได้กลับลำสุดตัวเป็นว่า ไม่มีนโยบายแก้ไขมาตรา 112 อาจเป็นเพราะต้องการจะมีโอกาสร่วมรัฐบาล
ข้อแตกต่างที่ชัดเจนของ MOU ทางธุรกิจ กับ MOUทางการเมือง จะอยู่ตรงที่ว่า หากกระทำผิด MOU ทางธุรกิจมีโอกาสถูกฟ้องร้องเป็นคดีความก็ได้ และอาจถูกเรียกค่าเสียหายได้ แต่เมื่อกระทำผิด MOU ทางการเมือง แม้จะมีสิทธิเรียกร้อง และฟ้องคดีกันได้ แต่คงไม่มีใครทำ
เพราะเป็นเรื่องทางการเมือง จะฟ้องร้องเป็นคดีความกันคดียังไม่ทันเสร็จ อาจยุบสภา หรือเปลี่ยนรัฐบาลไปแล้ว ซึ่งจะไม่ก่อให้เกิดประโยชน์ในการเรียกร้องใดๆ
หากมีการกระทำผิด MOU ทางการเมือง และไม่ต่อว่าต่อขานกัน แต่ผู้เกี่ยวข้องมักจะจำได้ดีว่า ใครเป็นผู้ทำผิด MOU เมื่อไร อย่างไร
แต่เหนือสิ่งอื่นใดทางการเมือง คือ ไม่มีมิตรแท้ และศัตรูถาวร
เงื่อนไขการแสดงความคิดเห็น ซ่อน
โปรดอ่านก่อนแสดงความคิดเห็น
1.กรุณาใช้ถ้อยคำที่ สุภาพ เหมาะสม ไม่ใช้ ถ้อยคำหยาบคาย ดูหมิ่น ส่อเสียด ให้ร้ายผู้อื่น สร้างความแตกแยกในสังคม งดการใช้ถ้อยคำที่ดูหมิ่นหรือยุยงให้เกลียดชังสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์
2.หากพบข้อความที่ไม่เหมาะสม สามารถแจ้งได้ที่อีเมล์ online@naewna.com โดยทีมงานและผู้จัดทำเว็บไซด์ www.naewna.com ขอสงวนสิทธิ์ในการลบความคิดเห็นที่พิจารณาแล้วว่าไม่เหมาะสม โดยไม่ต้องชี้แจงเหตุผลใดๆ ทุกกรณี
3.ขอบเขตความรับผิดชอบของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ อยู่ที่เนื้อหาข่าวสารที่นำเสนอเท่านั้น หากมีข้อความหรือความคิดเห็นใดที่ขัดต่อข้อ 1 ถือว่าเป็นกระทำนอกเหนือเจตนาของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ และไม่เป็นเหตุอันต้องรับผิดทางกฎหมายในทุกกรณี