การเมืองหลังการเลือกตั้งที่กำลังร้อนแรง จากการรวมตัวของพรรคก้าวไกล และพรรคเพื่อไทย กับ บรรดาพรรคการเมืองขนาดเล็กที่สนับสนุนการจัดตั้งรัฐบาล จนเกิดปรากฏการณ์ MOU หรือข้อตกลงเบื้องต้นในการจัดตั้งรัฐบาล นโยบายบริหารประเทศ รวมถึงโผโควตาตำแหน่งรัฐมนตรี เพื่อการก้าวเข้าสู่ตำแหน่งนายกรัฐมนตรีคนที่ 30 ของนายพิธา ลิ้มเจริญรัตน์ หัวหน้าพรรคก้าวไกล
ในเวลาเดียวกันได้เกิดกระแสว่า ตำแหน่งประธานสภาผู้แทนราษฎร ซึ่งเป็นประธานรัฐสภา ควรจะเป็นบุคคลที่มาจากพรรคก้าวไกลหรือพรรคเพื่อไทย
ตำแหน่งนายกรัฐมนตรีและประธานรัฐสภามีความเกี่ยวโยงกันในการจัดตั้งรัฐบาล ขั้นตอนนี้นับเป็นกระบวนสำคัญในการจัดตั้งรัฐบาล ซึ่งเป็นฝ่ายบริหาร และรัฐสภา ซึ่งเป็นฝ่ายนิติบัญญัติ ที่กำหนดไว้ในกฎหมายรัฐธรรมนูญ พ.ศ. 2560 และพระราชบัญญัติประกอบรัฐธรรมนูญ ว่าด้วยการเลือกตั้งสมาชิกสภาผู้แทนราษฎร คือ จะต้องมีการประชุมสภาผู้แทนราษฎรเพื่อลงคะแนนเห็นชอบเลือกประธานสภาผู้แทนราษฎรซึ่งเป็นประธานรัฐสภา จากนั้นประธานรัฐสภาจึงจะเป็นผู้นำเสนอคณะรัฐบาลเพื่อทูลเกล้าฯแต่งตั้งซึ่งคาดการณ์ว่าอย่างช้าที่สุดน่าจะราวภายในวันที่ 30 กรกฎาคม 2566
ขั้นตอนการเลือกประธานสภาผู้แทนราษฎร ตามข้อบังคับการประชุมสภาผู้แทนราษฎรพ.ศ. 2562 จะกระทำโดย ในการเปิดประชุมสภาครั้งแรก เลขาธิการรัฐสภาเชิญสมาชิกผู้มีอายุสูงสุดซึ่งอยู่ในที่ประชุมให้เป็นประธานชั่วคราวของที่ประชุม เพื่อให้ที่ประชุมดำเนินการเลือกประธานสภาผู้แทนราษฎร และรองประธานสภาผู้แทนราษฎร และประชุมดำเนินการในเรื่องอื่นที่จำเป็นไปด้วย สมาชิกแต่ละคนมีสิทธิเสนอชื่อสมาชิกได้หนึ่งชื่อ โดยมีสมาชิกรับรองไม่น้อยกว่า 20 คน และผู้ถูกเสนอชื่อ กล่าวแสดงวิสัยทัศน์ในการที่จะดำรงตำแหน่งต่อที่ประชุม ภายในระยะเวลาที่ประธานชั่วคราวกำหนด โดยไม่มีการอภิปราย ถ้ามีการเสนอชื่อผู้ใดเพียงชื่อเดียว ให้ถือว่าผู้ถูกเสนอชื่อนั้นเป็นผู้ได้รับเลือก ถ้ามีการเสนอชื่อ หลายชื่อ ให้ออกเสียงลงคะแนนเป็นการลับ ให้ประธานประกาศชื่อผู้ได้รับเลือกต่อที่ประชุม ทั้งนี้ การเลือกรองประธานสภาผู้แทนราษฎร ให้ทำลักษณะเดียวกันกับการเลือกประธานสภาผู้แทนราษฎร
พรรคก้าวไกลได้อ้างจารีต ประเพณีปฏิบัติว่า ตำแหน่ง ประธานสภาผู้แทนราษฎรจะต้องมาจากพรรคที่ได้รับคะแนนเสียงมากสุด จนพรรคเพื่อไทยโต้กลับอย่างร้อนแรงว่า ที่ผ่านมาการเลือกตำแหน่งประธานสภาผู้แทนราษฎร ถือตามคะแนนเสียงของสมาชิกในสภา มิใช่เลือกจากพรรคที่ได้คะแนนเสียงมากที่สุด
อาจเป็นเพราะพรรคก้าวไกลเกรงว่า จะเกิดเหตุการณ์เดียวกับที่เคยเกิดขึ้นในอดีต สมัยดร.อาทิตย์ อุไรรัตน์ ประธานสภาผู้แทนราษฎรเมื่อปี พ.ศ. 2535 ที่เสนอชื่อ นายอานันท์ ปันยารชุน ขึ้นทูลเกล้าฯเป็นนายกรัฐมนตรีแทน พล.อ.อ.สมบุญ ระหงษ์ ในยุคนั้นทั้งที่ในวันที่ทูลเกล้าฯนั้น ที่บ้านของพล.อ.อ.สมบุญระหงษ์ ได้จัดเตรียมพระบรมฉายาลักษณ์ โต๊ะหมู่บูชา ตลอดจนอาหารสำหรับจัดเลี้ยงผู้ที่มารอแสดงความยินดีที่บ้านอยู่มากมาย โดยดร.อาทิตย์ อุไรรัตน์ ได้ให้เหตุผลว่า เพื่อขจัดปมข้อขัดแย้งต่างๆ ที่อาจเป็นอุปสรรคในการบริหารบ้านเมืองของรัฐบาล ซึ่งรัฐธรรมนูญในยุคนั้นไม่ได้กำหนดให้ตำแหน่งนายกรัฐมนตรี จะต้องมาจากการลงคะแนนเสียงเห็นชอบร่วมกันของที่ประชุมรัฐสภาทั้งสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรและสมาชิกวุฒิสภา เหมือนรัฐธรรมนูญฉบับปัจจุบัน
นายพิธา ลิ้มเจริญรัตน์ ผู้ที่จะก้าวขึ้นสู่ตำแหน่งนายกรัฐมนตรีจากพรรคก้าวไกล ยังมีประเด็นปมเรื่อง การเป็นผู้ถือหุ้นสื่อในไอทีวี ซึ่งหากศาลรัฐธรรมนูญรับเรื่องเป็นคดีไว้พิจารณาวินิจฉัยในขณะที่ปฏิบัติหน้าที่เป็นนายกรัฐมนตรี จะต้องหยุดปฏิบัติหน้าที่ในทันที การบริหารบ้านเมืองหยุดชะงัก จะเสียหายต่อเศรษฐกิจอย่างมาก
ประเด็นนโยบายเชิงประชานิยมกระตุ้นเศรษฐกิจของพรรคก้าวไกลและพรรคเพื่อไทย ที่จะขึ้นค่าแรง 400-450 บาทต่อวัน ได้สร้างความไม่เชื่อมั่นต่อนักธุรกิจและนักลงทุนในขณะนี้ จนเกิดความกังวลใจว่า อาจต้องปลดคนงาน เป็นจำนวนมากเพื่อลดค่าใช้จ่ายหรือปิดกิจการ หรือย้ายฐานการผลิตโรงงานไปยังประเทศเวียดนาม มีค่าแรงถูกกว่าเพียงวันละ 210 บาทต่อวัน รวมทั้งการทยอยขายหุ้นของนักลงทุนต่างประเทศในตลาดหลักทรัพย์ของประเทศไทย ทำให้มูลค่าหุ้นร่วงลงทุกวัน
ล่าสุด สังคมได้เห็นภาพว่า พรรคก้าวไกลและพรรคเพื่อไทยมีท่าทีประนีประนอมมากขึ้น เกี่ยวกับตำแหน่งประธานสภาผู้แทนราษฎร เพราะกดดันผ่านสื่อมวลชนน้อยลง แต่จะเน้นการเจรจาภายใน โดยมุ่งไปที่งานใหญ่ที่รออยู่ข้างหน้า และพยายามจะลดความขัดแย้งที่มีอยู่
ส่วน นายพิธา ลิ้มเจริญรัตน์ ว่าที่นายกรัฐมนตรีได้เดินสายพบภาคเอกชนเพื่อแสดงวิสัยทัศน์ หรือถูกสอนมวยโดยภาคเอกชนกันแน่ เป็นเรื่องที่ประชาชนจับตามองกันอยู่
แต่ในความเป็นจริงที่สำคัญคือ นายพิธาลิ้มเจริญรัตน์ ยังจะต้องผ่านด่านในเรื่อง ปมถือหุ้นสื่อมวลชน และจะต้องได้รับคะแนนเสียงสนับสนุนจากสมาชิกวุฒิสภามากพอ
แนวโน้มน่าจะมีม้ามืดที่อยู่ใกล้ชิดกับ นายพิธา ลิ้มเจริญรัตน์ จะเป็นตัวจริงที่ก้าวขึ้นสู่ตำแหน่งนายกรัฐมนตรีอย่างพลิกโผ
เงื่อนไขการแสดงความคิดเห็น ซ่อน
โปรดอ่านก่อนแสดงความคิดเห็น
1.กรุณาใช้ถ้อยคำที่ สุภาพ เหมาะสม ไม่ใช้ ถ้อยคำหยาบคาย ดูหมิ่น ส่อเสียด ให้ร้ายผู้อื่น สร้างความแตกแยกในสังคม งดการใช้ถ้อยคำที่ดูหมิ่นหรือยุยงให้เกลียดชังสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์
2.หากพบข้อความที่ไม่เหมาะสม สามารถแจ้งได้ที่อีเมล์ online@naewna.com โดยทีมงานและผู้จัดทำเว็บไซด์ www.naewna.com ขอสงวนสิทธิ์ในการลบความคิดเห็นที่พิจารณาแล้วว่าไม่เหมาะสม โดยไม่ต้องชี้แจงเหตุผลใดๆ ทุกกรณี
3.ขอบเขตความรับผิดชอบของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ อยู่ที่เนื้อหาข่าวสารที่นำเสนอเท่านั้น หากมีข้อความหรือความคิดเห็นใดที่ขัดต่อข้อ 1 ถือว่าเป็นกระทำนอกเหนือเจตนาของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ และไม่เป็นเหตุอันต้องรับผิดทางกฎหมายในทุกกรณี