ในยุคที่ทุกอย่างเชื่อมโยงกันด้วยโลกดิจิทัล การบริโภคได้ก้าวข้ามความจําเป็นทางเศรษฐกิจไปสู่ การยืนยันตัวตนทางสังคม เรามักเห็นภาพที่น่าฉงนเมื่อโทรศัพท์รุ่นใหม่ล่าสุดหรือกระเป๋าแบรนด์เนมหรูที่ราคาสูงลิบลิ่วกลายเป็นสิ่งที่ผู้คนจํานวนมากยอมทุ่มเงินซื้อ ข้อมูลจากสํานักงานสถิติแห่งชาติชี้ว่า
รายได้เฉลี่ยต่อหัวต่อเดือนของคนไทยหลายกลุ่มยังคงอยู่ในหลักหมื่นบาทต้นๆ แต่ราคาโทรศัพท์รุ่นท็อปกลับพุ่งทะลุ 80,000 บาท ซึ่งอาจเทียบเท่ากับเงินเดือนกว่าหนึ่งเดือนครึ่งของผู้มีรายได้เฉลี่ยแล้วทําไมผู้คนถึงยังคงเข้าคิวและยอมแบกรับภาระ? คําตอบไม่ได้อยู่ที่ตัวเลขทางการเงิน แต่ซ่อนอยู่ในหลักการของจิตวิทยา และเศรษฐศาสตร์พฤติกรรม
รางวัลทางอารมณ์ : ความสุขทันทีที่เงินซื้อได้
การตัดสินใจซื้อสินค้าฟุ่มเฟือยเหล่านี้หลายครั้งถูกขับเคลื่อนด้วยเหตุผลทางอารมณ์ ผู้บริโภคหลายคนมองว่าเป็นการหา “รางวัลให้ตัวเอง” หลังจากที่ตรากตรําทํางานหนัก บางคนรู้สึกว่าเป็นการ“ไม่ยอมตกขบวน” หรือเป็นหนทางในการ “ยกระดับสถานะในสังคม” เช่นเดียวกับกระเป๋าแบรนด์หรูที่แม้จะมีราคาแพงเกินเหตุผลทางเศรษฐกิจ แต่ก็มอบ คุณค่าทางใจที่เงินไม่สามารถวัดได้ เป็นการประกาศความสําเร็จหรือรสนิยมให้คนรอบข้างได้รับรู้
เราสามารถอธิบายได้ด้วยแนวคิด Present Bias ในทางเศรษฐศาสตร์พฤติกรรมซึ่งคือการที่มนุษย์มักให้ความสําคัญกับ ความสุขปัจจุบัน มากกว่าผลกระทบด้านลบที่อาจจะเกิดขึ้นในอนาคต การผ่อนชําระโทรศัพท์ 24 เดือน ดูเหมือนจะเป็นภาระเล็กน้อยเพียงเดือนละไม่กี่พันบาทแต่ยอดรวมนั้นอาจเท่ากับค่าใช้จ่ายจําเป็นอื่นๆ ตลอดทั้งปี หรือเป็นการสร้างหนี้ที่เกินตัว
การได้โพสต์รูปตัวเองลงบนโซเชียลมีเดีย หรือการถือกระเป๋าแบรนด์เนมเป็น กระตุ้นการหลั่ง โดพามีนซึ่งเป็นสารเคมีแห่งความสุขในสมอง ความรู้สึกพึงพอใจและได้รับการยอมรับในทันทีทันใดนี้เองที่กลายเป็น “ความคุ้มค่าเชิงอารมณ์” ที่สามารถเอาชนะเหตุผลและตรรกะทางการเงินได้อย่างสิ้นเชิง
ภัยคุกคามของหนี้ครัวเรือน : ความสุขวันนี้แลกกับวิกฤตวันหน้า
พฤติกรรมการบริโภคที่เน้นความสุขระยะสั้นนี้ ได้ส่งผลกระทบอย่างเป็นรูปธรรมต่อภาพรวมเศรษฐกิจของประเทศ ข้อมูลจากธนาคารแห่งประเทศไทยชี้ให้เห็นว่า หนี้ครัวเรือนไทยยังคงอยู่ในระดับที่น่ากังวลโดยตัวเลขล่าสุดยังคงสูงกว่า 87% ของผลิตภัณฑ์มวลรวมในประเทศ (GDP)ซึ่งเป็นหนึ่งในระดับที่สูงที่สุดในภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้
แม้คนส่วนใหญ่จะตระหนักดีว่าตนเองกําลังใช้เงินเกินตัว แต่พวกเขาก็ยังเลือกที่จะทํา เพราะถูกล่อลวงด้วย“ความสุขชั่วคราว” และความพึงพอใจทางอารมณ์ที่มาจากการบริโภค
ในยุคดิจิทัล การใช้จ่ายยังกลายเป็นการ “เล่าเรื่องชีวิต” เราไม่ได้ซื้อโทรศัพท์เพื่อแค่โทรออกหรือท่องอินเทอร์เน็ตแต่เราซื้อ “เครื่องมือ” สําหรับการสร้างคอนเทนต์ ภาพถ่าย คลิปวิดีโอหรือโพสต์ลงโซเชียลมีเดียเพื่อสร้าง“เรื่องราวของตัวเอง” เช่นเดียวกับกระเป๋าแบรนด์เนมที่ถูกใช้เป็นสัญลักษณ์ที่สื่อสารว่า “ฉันประสบความสําเร็จ” หรือ“ฉันก็มีเหมือนคนอื่น”
สังคมไทยยุคใหม่ที่พึ่งพาโซเชียลมีเดียอย่างหนัก ซึ่งผลวิจัยของ Deloitte ระบุว่าคนไทยกว่า 70% ใช้เวลาบนแพลตฟอร์มเหล่านี้มากกว่า 3 ชั่วโมงต่อวัน ทําให้เกิดการเปรียบเทียบชีวิต อย่างต่อเนื่องและรุนแรง เมื่อเพื่อนรอบตัวอัปเกรดชีวิตด้วยของชิ้นใหม่ ก็เกิดแรงขับเคลื่อนภายในที่ผลักดันให้คนอื่นรู้สึกว่าตนเองก็ควรจะมีบ้าง
แรงผลักดันจากการเปรียบเทียบทางสังคมนี้จึงกลายเป็นพลังที่ทรงอํานาจยิ่งกว่าตัวเลขในบัญชีเงินฝากที่ติดลบ
สร้างสมดุลแห่งความสุข : การบริโภคอย่างมีสติ
การซื้อของแพงหรือสินค้าหรูหรานั้นไม่ใช่เรื่องที่ผิด และไม่ควรถูกตัดสินว่าเป็นความฟุ้งเฟ้อไปเสียทั้งหมดเพราะท้ายที่สุดแล้ว มันคือการตอบสนองความต้องการพื้นฐานของมนุษย์ที่จะรู้สึกมีคุณค่า ได้รับการยอมรับและมีความสุขในแบบที่เลือก แต่สิ่งสําคัญที่ขาดหายไปคือ การหาสมดุล
ระหว่างความสุขระยะสั้นและความมั่นคงทางการเงินในระยะยาว หากสิ่งของเหล่านั้นกลายเป็นภาระหนี้ที่กัดกินอนาคตความสุขชั่วคราวก็จะถูกแลกมาด้วยความกังวลที่ยืดเยื้อและเรื้อรัง
ทางออกจึงไม่ใช่การหักดิบหรือห้ามตัวเองไม่ให้ซื้อแต่คือ การสร้างวินัยทางการเงินที่เข้มแข็ง ผู้บริโภคควรฝึกฝนการออมเงินให้ได้ก่อนแล้วค่อยซื้อสิ่งที่ต้องการหรือจัดสรรงบประมาณที่ชัดเจนว่าเงินเพื่อความสุข (Pleasure Spending) ไม่ควรเกินกี่เปอร์เซ็นต์ของรายได้ต่อเดือน
การเข้าใจทั้งจิตวิทยาและเศรษฐศาสตร์พฤติกรรมที่ขับเคลื่อนการตัดสินใจใช้จ่ายของตัวเองจะช่วยให้ผู้บริโภคสามารถ “ใช้เงินอย่างมีสติ” และเปลี่ยนการบริโภคให้กลายเป็นเรื่องที่เติมเต็มชีวิตอย่างแท้จริง ไม่ใช่การเพิ่มภาระหนี้ที่ไม่จําเป็นที่ทําให้ชีวิตหนักอึ้งในภายหลังคุณคิดว่าความสุขที่เกิดจากการได้ครอบครองสิ่งของชิ้นใหม่นั้นสามารถทดแทนความรู้สึกมั่นคงทางการเงินในระยะยาวได้จริงหรือไม่?
ดร.กร พูนศิริวงศ์
เงื่อนไขการแสดงความคิดเห็น ซ่อน
โปรดอ่านก่อนแสดงความคิดเห็น
1.กรุณาใช้ถ้อยคำที่ สุภาพ เหมาะสม ไม่ใช้ ถ้อยคำหยาบคาย ดูหมิ่น ส่อเสียด ให้ร้ายผู้อื่น สร้างความแตกแยกในสังคม งดการใช้ถ้อยคำที่ดูหมิ่นหรือยุยงให้เกลียดชังสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์
2.หากพบข้อความที่ไม่เหมาะสม สามารถแจ้งได้ที่อีเมล์ online@naewna.com โดยทีมงานและผู้จัดทำเว็บไซด์ www.naewna.com ขอสงวนสิทธิ์ในการลบความคิดเห็นที่พิจารณาแล้วว่าไม่เหมาะสม โดยไม่ต้องชี้แจงเหตุผลใดๆ ทุกกรณี
3.ขอบเขตความรับผิดชอบของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ อยู่ที่เนื้อหาข่าวสารที่นำเสนอเท่านั้น หากมีข้อความหรือความคิดเห็นใดที่ขัดต่อข้อ 1 ถือว่าเป็นกระทำนอกเหนือเจตนาของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ และไม่เป็นเหตุอันต้องรับผิดทางกฎหมายในทุกกรณี