“ยอดขายกลุ่ม CLMV อ่อนแอ”

บริษัทหลักทรัพย์(บล.)เคจีไอ(ประเทศไทย) วิเคราะห์หุ้นบริษัทคาราบาวกรุ๊ปหรือ CBG โดยเปลี่ยนมามองลบมากขึ้นต่อแนวโน้มธุรกิจจาก :

i)   ความตึงเครียดไทย-กัมพูชายืดเยื้อขณะที่CBG มีรายได้ราว 15% และกำไรสุทธิราว 20% มาจากกัมพูชากำลังได้รับผลกระทบตั้งแต่ 3Q68 สะท้อนจากตัวเลขส่งออกเครื่องดื่มชูกำลังไปกัมพูชาลดลงจาก 409 ล้านบาทในกุมภาพันธ์ 2568เหลือ 38 ล้านบาท ในสิงหาคม 2568 (-78% MoM และ -88% YoY ข้อมูลกระทรวงพาณิชย์)ความเสี่ยงยังรวมถึงการเรียกร้องให้คว่ำบาตรสินค้าไทยทำให้กังวลว่าโรงงานCBGในกัมพูชาจะถึงจุดคุ้มทุนได้เมื่อใดเมื่อเริ่มดำเนินการ

ii)   การแข่งขันในประเทศที่รุนแรงขึ้นกดดันต่อmargin แม้ CBG จะมีส่วนแบ่งตลาดทำระดับสูงสุดใหม่ที่ 27.3% (+1.2% MoM) ในสิงหาคม 2568 ผ่านการทำการตลาดและชิงส่วนแบ่งตลาดจากคู่แข่งได้ แต่รายได้ที่เติบโตไม่น่าจะสอดคล้องกับโมเมนตัมนี้ เพราะราคาขายเฉลี่ยลดลงจากการทำโปรโมชั่นซึ่งจะกดดัน GPM ส่วนการกลับไปขยายตลาดที่จีนน่าจะต้องใช้เวลา แม้จะมีแผนเปิดตัวพันธมิตรผู้จัดจำหน่ายหลายรายโดยยอดขายในอดีตอยู่เพียง 88–731 ล้านบาทในช่วงปี 2561–66

iii)  สภาพอากาศ 2H68 อาจไม่เป็นใจ โดยมีปริมาณฝนสูงขึ้นและอุณหภูมิต่ำกว่าปี 2567 เล็กน้อย ขณะที่ คาดว่าปริมาณน้ำฝนตั้งแต่สิงหาคม-ธันวาคม 2568จะสูงกว่าปกติ 13–22% พร้อมกับน้ำท่วมในหลายพื้นที่ส่วนหนึ่งมาจากปรากฏการณ์ลานีญาที่รุนแรงขึ้น

เราคาดว่า CBG จะเผยกำไรสุทธิ 3Q68F ที่ 704 ล้านบาท (-12% QoQ และ -5% YoY) กำไรที่แย่ลง QoQ จะมาจากยอดขายกลุ่มประเทศ CLMV อ่อนแอ (โดยเฉพาะจากกัมพูชา (-29% QoQ)) ซึ่งมีน้ำหนักมากกว่ายอดขายเครื่องดื่มชูกำลังในประเทศที่แข็งแกร่งกำไรที่ลดลง YoY อาจมาจากยอดขายจากกัมพูชาลดลงและการแข่งขันราคาในประเทศส่งผลให้GPM แคบลงที่ 26% (เทียบกับ 27% ใน 2Q68 และ 28.1% ใน 3Q67) กำไรหลัก 9M68F น่าจะอยู่ที่ 2.3 พันล้านบาท (+10% YoY) คิดเป็น 78% ของกำไรปี 2568F ของเรา

เราปรับลดคำแนะนำ CBG ลงเป็น “ขาย” จากซื้อ และขยับราคาเป้าหมายไปเป็นสิ้นปี 2569F ที่ 47.00 บาท ลดจากเดิม 61.50 บาท ปรับลดกำไรปี 2568F-70F ของเราลงราว 5-6% บนสมมติฐานของยอดขายและ margin ที่ต่ำลง ปัจจุบันกำไรใหม่ของเราต่ำกว่า consensus ราว 7–11% ทั้งนี้ sentiment ตลาดน่าจะเปลี่ยนเป็นเชิงลบมากขึ้นจากความเสี่ยงต่าง ๆ ที่ยืดเยื้อท่ามกลางการแข่งขันเครื่องดื่มชูกำลังในประเทศรุนแรงขึ้น

ปัจจัยเสี่ยงจากการแข่งขันเข้มข้น, เศรษฐกิจชะลอตัว, พฤติกรรมผู้บริโภคและต้นทุนวัตถุดิบต่างๆเปลี่ยนแปลงไป

ที่มา..บล.เคจีไอ(ประเทศไทย)