** สถานการณ์ราคาทองคำยังคงปรับขึ้นอย่างต่อเนื่อง ล่าสุดเมื่อวันที่ 21 ตุลาคม 2568 ราคาทองคำในประเทศเคลื่อนไหวในระดับ 67,050 บาทต่อบาททองคำ (ราคาทองคำแท่ง) และ 67,850 บาทต่อบาททองคำ (ทองรูปพรรณ) ขณะที่ราคาทองคำโลก (Gold Spot) อยู่ที่ 4,348.50 ดอลลาร์สหรัฐต่อออนซ์
โดยนายณัฐวุฒิ วงศ์เยาวรักษ์ ผู้อำนวยการฝ่ายวิจัย บล.โกลเบล็ก ประเมินว่าราคาทองคำยังคงเคลื่อนไหวในกรอบจำกัด แม้ว่าจะมีความคาดหวังที่ธนาคารกลางสหรัฐ (เฟด) อาจปรับลดอัตราดอกเบี้ยในการประชุมเดือนนี้ ซึ่งเป็นปัจจัยสำคัญที่กระตุ้นให้นักลงทุนเข้าถือครองทองคำในฐานะสินทรัพย์ปลอดภัย
นอกจากนี้ ความไม่แน่นอนของสถานการณ์การค้าระหว่างจีนและสหรัฐ ชึ่งนายเจมีสัน กรีเออร์ ผู้แทนการค้าสหรัฐ กล่าวว่า ประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์ อาจจะเดินหน้าเรียกเก็บภาษี 100% ต่อสินค้านำเข้าจากจีนในวันที่ 1 พ.ย. หรือเร็วกว่านั้น โดยขึ้นอยู่กับท่าทีของจีนในการดำเนินการเกี่ยวกับแร่หายาก ขณะที่จีนเริ่มเรียกเก็บค่าธรรมเนียมท่าเรือพิเศษกับเรือของสหรัฐตั้งแต่วันที่ 14 ต.ค. ยกเว้นเรือที่สร้างในจีน โดยเรือที่เข้าข่ายต้องจ่ายค่าธรรมเนียมคือเรือที่เป็นของสหรัฐฯ ดำเนินการโดยสหรัฐฯ สร้างโดยสหรัฐฯ หรือมีธงสหรัฐ นอกจากนี้จีนขู่ใช้มาตรการตอบโต้ หากสหรัฐอเมริกาเรียกเก็บภาษีเพิ่มเติมในอัตรา 100% สำหรับสินค้านำเข้าจากจีน ซึ่งคาดว่าจะมีผลบังคับใช้ในวันที่ 1 พ.ย. ทำให้สถานการณ์การค้าระหว่างจีนและสหรัฐตึงเครียดยิ่งขึ้น หนุนนักลงทุนเข้าถือครองทองคำในฐานะสินทรัพย์ปลอดภัย รวมถึงความเสี่ยงจากการชัตดาวน์ของหน่วยงานรัฐบาลกลางสหรัฐ ยังคงเป็นแรงผลักดันให้ทองคำได้รับความสนใจจากนักลงทุนทั่วโลก โดยสก็อตต์ เบสเซนต์ รัฐมนตรีคลังสหรัฐฯ เปิดเผยว่า การปิดทำการของหน่วยงานรัฐบาล หรือชัตดาวน์ ซึ่งยืดเยื้อเข้าสู่วันที่ 16 เริ่มส่งผลกระทบต่อเศรษฐกิจของประเทศแล้ว
อย่างไรก็ตาม สถานการณ์ตึงเครียดในภูมิภาคตะวันออกกลางเริ่มคลี่คลายลง หลังกลุ่มฮามาสปล่อยตัวประกันทั้งหมด 13 คนในฉนวนกาซา ขณะที่ศาลรัฐบาลกลางสหรัฐมีคำสั่งชั่วคราวห้ามรัฐบาลภายใต้การนำของประธานาธิบดีทรัมป์ปลดเจ้าหน้าที่รัฐในช่วงที่มีการชัตดาวน์ ส่งผลให้นักลงทุนบางส่วนเริ่มขายทำกำไรทองคำ ซึ่งเป็นแรงกดดันต่อราคาทองคำในระยะสั้น
สำหรับแนวโน้มราคาทองคำในสัปดาห์นี้ คาดว่าจะเคลื่อนไหวในกรอบ 4,150 – 4,350 ดอลลาร์ต่อออนซ์ โดยแนะนำให้นักลงทุนซื้อเก็งกำไรอย่างระมัดระวัง พร้อมติดตามปัจจัยใหม่ที่อาจส่งผลกระทบต่อแนวรับสำคัญของราคาทองคำ
ขณะที่บทวิเคราะห์จากฮั่วเซ่งเฮง ระบุว่าราคาทองคำโลกปรับตัวขึ้น จากการที่กองทุน SPDR ซื้อทองคำ 11.45 ตัน รวมสุทธิ 1,058.66 ตัน ระเมินว่า ทองโลกอยู่ในระยะขาขึ้น แต่ในระยะสั้นได้ปรับตัวขึ้นทดสอบแนวต้านที่ 4,381 ดอลลาร์ และมีการปรับตัวลงในภายหลัง ฮั่วเซ่งเฮง จึงประเมินว่า หลังจากทดสอบแนวต้านดังกล่าว ทองโลกอาจย่อตัวลงระยะสั้นทดสอบแนวรับที่ 4,330 ดอลลาร์ แต่หากหลุดแนวรับที่ 4,300 ดอลลาร์ ลงไป อาจเข้าสู่ระยะปรับฐานลง
ด้านนางพวรรณ์ นววัฒนทรัพย์ ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท วายแอลจี บูลเลี่ยน อินเตอร์เนชั่นแนล จำกัด (YLG) กล่าวว่า YLG ยังมองว่าทิศทางการเคลื่อนไหวของราคาทองคำยังเป็นขาขึ้นอย่างน้อย 2 ปี เนื่องจากปัจจัยบวกสำคัญหลายด้านยังแข็งแกร่ง ทั้งการเข้าซื้อของธนาคารกลางทั่วโลก ความกังวลเรื่องอัตราเงินเฟ้อ ความขัดแย้งทางภูมิรัฐศาสตร์ และสงครามการค้า แต่ปัจจัยที่สำคัญในช่วง 1- 2 ปี นับจากนี้น้ำหนักจะอยู่ที่การปรับลดอัตราดอกเบี้ยของธนาคารกลางสหรัฐ ฯ(เฟด) ซึ่งหากดูจากสถิติในช่วงการปรับลดอัตราดอกบี้ยนโยบายของเฟดแต่ละครั้งพบว่ามีความสัมพันธ์กับการเคลื่อนไหวของราคาทองคำไปในทิศทางเดียวกัน
หากพิจารณาย้อนหลังนับตั้งแต่ปี 2542 ถึงปัจจุบัน พบว่าเกิดวงจรการปรับลดอัตราดอกเบี้ยของเฟด 4 รอบ ดังนี้ 1. ในปี 2543 เกิดฟองสบู่ดอทคอม (Dot-comBubbleBurst) ที่เศรษฐกิจสหรัฐ ฯ โตแรงจากหุ้น เทคโนโลยีและอินเทอร์เน็ต ก่อนที่ฟองสบู่จะแตก ทำให้ราคาหุ้นเทคโนโลยีร่วงลงอย่างรุนแรง กดดันการลงทุนภาคธุรกิจ (business investment) โดยเฉพาะด้านเทคโนโลยี และตลาดแรงงานเริ่มอ่อนแอ 2. ในปี 2550 เกิดภาวะฟองสบู่แตกในตลาดอสังหาริมทรัพย์ของสหรัฐจากการปล่อยกู้สินเชื่อบ้านเสี่ยงสูง (Subprime Mortgage Crisis) ทำให้เฟดตัดสินใจปรับลดอัตราดอกเบี้ยในการประชุมเดือน ก.ย. 2550 3. ปี 2562 หลังจากกิจกรรมทางเศรษฐกิจชะลอตัวลง ส่งผลให้เฟดตัดสินใจปรับลดอัตรา ดอกเบี้ยล่วงหน้า โดยเฟดระบุว่าเป็น Insurance Cut ก่อนที่เฟดจะปรับ “ลด” อัตราดอกเบี้ย อย่างรวดเร็วในช่วงต้นปี 2563 จากวิกฤติ COVID-19 4. ปี 2567 หลังจากเงินเฟ้อพุ่งขึ้น ขณะที่เศรษฐกิจสหรัฐฟื้นตัวอย่างแข็งแกร่ง เฟดจึงได้ปรับ นโยบายการเงินเข้าสู่สภาวะปกติ (Fed Policy Normalization) เพื่อต่อสู้กับเงินเฟ้อ
ทั้งนี้พิจารณาถึงการเคลื่อนไหวของราคาทองคำในรอบวงจรการปรับลดอัตราดอกเบี้ยของเฟด 3 ครั้งก่อน หน้าพบสถิติที่น่าสนใจ ดังนี้ 1. ราคาทองคำตอบสนองในเชิงบวกตลอดช่วง 24 เดือนหลังเฟดเริ่มปรับลดอัตราดอกเบี้ยครั้งแรก โดยปรับตัวเพิ่มขึ้น 31% ในรอบการปรับลดอัตราดอกเบี้ยปี 2543 ปรับตัวเพิ่มขึ้น 39% ในรอบการปรับลดอัตราดอกเบี้ยปี 2550 และปรับตัวเพิ่มขึ้น 26% ในรอบการปรับลดอัตราดอกเบี้ยปี 2562 2. อัตราเฉลี่ยของทองคำที่ปรับตัวขึ้นราวอยู่ที่ 32% ในระยะเวลา 2 ปีหลังเฟดเริ่มวงจนการปรับลดอัตราดอกเบี้ย 3. สำหรับวงจรการปรับลดอัตราดอกเบี้ยรอบปัจจุบันที่เริ่มต้นในปี 2567 ยังไม่แน่ชัดว่าอัตราดอกเบี้ยปลายทาง (Terminal Rate) จะอยู่ที่เท่าไหร่ แต่อัตราดอกเบี้ย ณ ปัจจุบันที่ผ่านมาแล้วเกือบ 1 ปีอยู่ที่ระดับ 4.25% ขณะที่ทองคำปรับตัวขึ้นมาแล้ว 64%
ส่วนแนวโน้มการเคลื่อนไหวของราคาทองคำ YLG ประเมินว่าหากได้รับปัจจัยบวกอย่างแข็งแกร่งอย่างต่อเนื่องมีโอกาสมีอาจจะไปได้ถึง 4,435-4,900 ดอลลาร์สหรัฐฯต่อทรอยออนซ์ และมองว่าทองคำในประเทศมีโอกาสเห็น 68,500-75,700บาทต่อบาททองคำ (คำนวณจากค่าเงินบาท 32.58 บาทต่อดอลลาร์สหรัฐฯ)
** กระบองเพชร**
เงื่อนไขการแสดงความคิดเห็น ซ่อน
โปรดอ่านก่อนแสดงความคิดเห็น
1.กรุณาใช้ถ้อยคำที่ สุภาพ เหมาะสม ไม่ใช้ ถ้อยคำหยาบคาย ดูหมิ่น ส่อเสียด ให้ร้ายผู้อื่น สร้างความแตกแยกในสังคม งดการใช้ถ้อยคำที่ดูหมิ่นหรือยุยงให้เกลียดชังสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์
2.หากพบข้อความที่ไม่เหมาะสม สามารถแจ้งได้ที่อีเมล์ online@naewna.com โดยทีมงานและผู้จัดทำเว็บไซด์ www.naewna.com ขอสงวนสิทธิ์ในการลบความคิดเห็นที่พิจารณาแล้วว่าไม่เหมาะสม โดยไม่ต้องชี้แจงเหตุผลใดๆ ทุกกรณี
3.ขอบเขตความรับผิดชอบของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ อยู่ที่เนื้อหาข่าวสารที่นำเสนอเท่านั้น หากมีข้อความหรือความคิดเห็นใดที่ขัดต่อข้อ 1 ถือว่าเป็นกระทำนอกเหนือเจตนาของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ และไม่เป็นเหตุอันต้องรับผิดทางกฎหมายในทุกกรณี