วันพุธ ที่ 29 ตุลาคม พ.ศ. 2568
** ทันทีทีมีการยืนยันออกมาจาก”ทำเนียบขาว สหรัฐอเมริกา”...ว่า มีการนามบันทึกความเข้าใจ (MOU) ว่าด้วยความร่วมมือด้านแร่ธาตุหายาก หรือแร่แรร์เอิร์ธ (Rare Earths) ระหว่างนายอนุทิน ชาญวีรกูล นายกรัฐมนตรี กับ โดนัลด์ ทรัมป์ ประธานาธิบดีสหรัฐ เมื่อวันที่ 26 ต.ค. 68 ที่ประเทศมาเลเซีย…ก็สร้างประหลาดใจให้กับสังคมไทยส่วนใหญ่ว่า...รัฐบาลไทย และ นายกรัฐมนตรีของไทย ทำไมต้องรีบแร่ง ร้อนรน ลงนามใน MOU ฉบับนี้ โดยที่ไม่ได้บอกประชาชนก่อนว่าจะมีเรื่องนี้ในโอกาสที่ไปมาเลเซีย เพื่อลงนามในกรอบความร่วมมือเพื่อสันติภาพระหว่างไทยกับกัมพูชา ที่มีมาเลเซีย และ สหรัฐฯ เป็นสักขีพยาน...หมุนตามทุน...แน่ใจว่าสังคมไทยและประชาชนคนไทยกว่า 90 % รู้สึกแปลกใจและมีข้อสงสับและความเป็นกังวลมากมาย ต่อการกระทำของรัฐบาลไทยในครั้งนี้
แต่...หมุนตามทุน..ใหม่แปลกใจที่.. นายธนกร วังบุญคงชนะ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงอุตสาหกรรม... เปิดเผยว่า การลงนามบันทึกความเข้าใจ ว่าด้วยความร่วมมือในการพัฒนาความหลากหลายของห่วงโซ่อุปทานของแร่ธาตุสำคัญ เพื่อส่งเสริมการค้า การลงทุน และการพัฒนาเทคโนโลยีในอุตสาหกรรมแร่ธาตุสำคัญ พร้อมเสริมสร้างความมั่นคงและความยั่งยืนของห่วงโซ่อุปทานในระดับโลก ถือเป็นโอกาสอันดีที่ทั้งสองประเทศจะได้ร่วมมือกันในการเสริมสร้างการกำกับดูแลที่ดีต่อทรัพยากรแร่ธาตุสำคัญ ฯลฯ ...เช่นเดียวกับ จ่าเอก ยศสิงห์ เหลี่ยมเลิศ รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงอุตสาหกรรม...ที่กล่าวไปในทำนองเดียวกันว่า ความร่วมมือในครั้งนี้เป็นการเปิดโอกาสให้ไทยสามารถเข้าร่วมในห่วงโซ่อุปทานของแร่ธาตุสำคัญในระดับโลก โดยเน้นย้ำว่าต้องเป็นไปตามมาตรฐานสากลขั้นสูงสุด และตระหนักถึงความเชี่ยวชาญทางด้านเทคนิค กฎระเบียบ นโยบาย การดำเนินงาน การบริหารจัดการภาคส่วนต่างๆ รวมถึงประสบการณ์ที่เป็นลักษณะเฉพาะด้านทรัพยากรแร่ธาตุที่ทั้งสองประเทศมีอยู่...ฯลฯ...หมุนตามทุน...เข้าใจได้แหล่ะว่าทำไม่ต้องพูดแบบนี้...ไม่ขอเสียเวลาไปกับการพยายามหาเหตุผลใดๆมารองรับหลักคิดของรัฐมนตรี 2 ท่านนี้...และก็ไม่รู้ด้วยว่า รมต.2 ท่านนี้รู้หรือเปล่าว่าไอ้คำว่า”แร่หายาก”หรือ”แร่แรร์เอิร์ธ”...มันมีอยู่กี่กลุ่มค่าธาตุ ในประเทศไทยมีเหมือนที่จะคุ้มค่าเชิงพาณิชย์ไหม...ว่าการทำเหมืองและวิธึการสกัดแร่ ทำกันแบบไหน...ฯลฯ
หมุนตามทุน...เลยจึงอยากจะใช้เวลาศึกษาเพื่อทำความเข้าใจในเหตุของข้อมูลที่ รักพงษ์ อาจารย์ประจำคณะนิติศาสตร์ มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ (มธ.)...ที่ได้ระบุถึง...การลงนามบันทึกความเข้าใจ (MOU) ว่าด้วยความร่วมมือด้านแร่ธาตุหายาก หรือแร่แรร์เอิร์ธ (Rare Earths) ระหว่างนายอนุทิน ชาญวีรกูล นายกรัฐมนตรี กับ โดนัลด์ ทรัมป์ ประธานาธิบดีสหรัฐ เมื่อวันที่ 26 ต.ค. 68…
โดยรศ.ดร.จารุประภา...ได้ระบุว่าไทยยังไม่มีความเหมาะสมและความจำเป็นที่จะเข้าไปเป็นส่วนหนึ่งในห่วงโซ่อุปทานของการผลิตแร่แรร์เอิร์ธ ที่ถือกันว่าเป็นอุตสาหกรรมที่สุ่มเสี่ยงต่อการทำลายสิ่งแวดล้อมเป็นวงกว้างได้เช่นเดียวกับอุตสาหกรรมถ่านหิน เพราะไทยยังไม่มีความพร้อมใดๆ ทั้งการไม่มีกฎหมายรองรับในการควบคุมดูแลอุตสาหกรรมการผลิตแร่แรร์เอิร์ธ ไม่มีความพร้อมด้านองค์ความรู้ เทคโนโลยี และกระบวนการผลิตที่เหมาะสมที่จะไม่ส่งผลกระทบต่อสิ่งแวดล้อม ไปจนถึงไม่มีความพร้อมด้านการรับรู้และความเข้าใจของประชาชน
นอกจากนี้รัฐบาลในปัจจุบันถือเป็นรัฐบาลชั่วคราวที่เข้ามาทำภารกิจตามกรอบเวลาที่กำหนด จึงไม่เหมาะสมที่จะผลักดันในการให้สัมปทานเพื่อผลิตหรือการขุดแร่แรร์เอิร์ธ แก่ประเทศอื่นๆ รวมไปถึงการนำเข้าแร่จากประเทศอื่นๆ เพื่อนำมาผลิตต่อด้วย หากต้องผลักดันสิ่งต่างๆ เหล่านี้ ประเทศไทยควรมีกฎหมายเพื่อกำกับดูแลห่วงโซ่อุปทานการผลิตแร่แรร์เอิร์ธก่อน ซึ่งต้องผ่านกระบวนถกเถียงและมีมติเห็นชอบจากรัฐสภาตามกระบวนการ ฉะนั้นรัฐบาลชุดต่อไปซึ่งได้รับการเลือกตั้ง และได้รับฉันทมติมาจากประชาชนจะมีความเหมาะสมกว่าในการผลักดันการให้สัมปทาน
ทั้งนี้ สิ่งที่รัฐบาลปัจจุบันทำได้และควรทำ คือการเตรียมความพร้อม ทั้งมิติการศึกษา การร่างข้อกฎหมาย หรือการหามาตรการควบคุมป้องกันผลกระทบ และสำรวจหาพื้นที่ที่มีแร่อย่างเป็นทางการ ซึ่งต้องอยู่ภายใต้กรอบของกฎหมายและเป็นการสำรวจที่ไม่ก่อให้เกิดมลพิษ พร้อมทั้งรับเอาการถ่ายทอดเทคโนโลยีองค์ความรู้เกี่ยวกับอุตสาหกรรมนี้ ทั้งจากสหรัฐ หรือประเทศอื่นๆ ที่เข้ามายื่นข้อเสนอเช่นกัน
รศ.ดร.จารุประภา...ระบุอีกว่า MOU ว่าด้วยความร่วมมือแร่แรร์เอิร์ธที่ ไทยทำกับสหรัฐ ไม่ได้มีผลผูกพันเป็นข้อบังคับทางกฎหมาย ฉะนั้นหากมีการเจรจารายละเอียดเรื่องนี้กันอีกครั้ง ประเทศไทยควรแสดงท่าทีว่าไม่ได้เปิดรับแค่การลงทุนจากสหรัฐเท่านั้น แต่ไทยยังเปิดกว้างที่จะให้ความร่วมมือกับประเทศอื่นๆ ด้วย เช่น สหภาพยุโรป (EU) หรือจีน โดยหลักการสำคัญคือขึ้นอยู่กับข้อเสนอว่าประเทศใดมีความน่าสนใจที่สุด ซึ่งข้อเสนอที่ดีอาจไม่ได้หมายถึงแค่จำนวนเงินเท่านั้น แต่ยังรวมไปถึงมาตรการเรื่องการคุ้มครองสิ่งแวดล้อม หรือการถ่ายทอดองค์ความรู้เทคโนโลยีที่ดีกว่าด้วย หากไทยสามารถดำเนินการได้ตามแนวทางเหล่านี้ที่ไม่ได้อิงไปทางสหรัฐมากนัก ก็จะส่งผลดีต่อภาพลักษณ์ของไทยในเวทีระหว่างประเทศ และเป็นการสะท้อนไปยังจีนว่าไทยไม่ได้ทิ้งน้ำหนักทางการค้าไปยังสหรัฐมากเกินไป
“สิ่งที่รัฐบาลควรให้ความสำคัญไม่แพ้กัน คือการปรับปรุงข้อกฎหมายตรวจสอบย้อนกลับเพื่อป้องกันมลพิษข้ามแดน จากเหมืองแร่แรร์เอิร์ธเถื่อนในประเทศเพื่อนบ้าน ซึ่งส่วนหนึ่งกำลังสร้างมลพิษทางสิ่งแวดล้อมให้กับแม่น้ำกกของไทยในเวลานี้ โดยในกรณีที่ผู้ประกอบการไทยมีการนำเข้าแร่มาจากประเทศเพื่อนบ้าน แล้วนำมาผลิตต่อเพื่อให้เกิดความบริสุทธิ์ของแร่ในไทย จะต้องไม่เป็นแร่ซึ่งมีที่มาจากเหมืองแร่ที่สร้างมลพิษทางน้ำและทางอากาศให้ไทย หากตรวจสอบย้อนกลับแล้วพบว่ามีที่มาจากเหมืองแร่ที่ก่อให้เกิดมลภาวะ ก็ควรจะยุติการนำเข้าทันที เรื่องนี้เป็นประเด็นที่มีปัญหามาอย่างต่อเนื่อง และรัฐบาลควรเร่งดำเนินการแก้ไข” รศ. ดร.จารุประภา กล่าว
!! เห็นหรือยังครับท่านผู้อ่าน ข้อความของนักวิชาการท่านนี้คู่ควรกับการเสียเวลากับการนำมาใคร่ควรวิเคราะห์แยกแยะและหาเหตุข้อมูลเพิ่มเติม...มากกว่าคำสัมภาษณ์ของ รัฐมนตรี 2 ท่านนั้น....มากกว่าเยอะเลยใช่หรือเปล่าครับ...**
** กระบองเพชร**
++++++++++++++++

‘สจ.พรรคส้ม’ลาออกสมาชิก ปชน.-ยุติบทบาทการเมือง รับผิดชอบเหตุทำร้ายอดีตแฟนสาว
‘ตร.’เตือนนำสิทธิ‘คนละครึ่งพลัส’ไปแลกเงินสด เข้าข่ายฉ้อโกง โทษทั้งจำทั้งปรับ
‘ชลน่าน’เผยมติคณะทำงานฯแก้รธน. ชง 2 โมเดลให้‘กมธ.ชุดใหญ่’พิจารณาพรุ่งนี้
ตร.บุรีรัมย์รวบอดีตนักมวยคาบ้าน คลั่งค้อนทุบหัวเมียสาหัส โบ้ยหงุดหงิดถูกกล่าวหาติดหญิง
มิสซิสซิปปีระทึก! กลุ่มลิงทดลองติดเชื้อหนีจากรถบรรทุกพลิกคว่ำ

เงื่อนไขการแสดงความคิดเห็น ซ่อน
โปรดอ่านก่อนแสดงความคิดเห็น
1.กรุณาใช้ถ้อยคำที่ สุภาพ เหมาะสม ไม่ใช้ ถ้อยคำหยาบคาย ดูหมิ่น ส่อเสียด ให้ร้ายผู้อื่น สร้างความแตกแยกในสังคม งดการใช้ถ้อยคำที่ดูหมิ่นหรือยุยงให้เกลียดชังสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์
2.หากพบข้อความที่ไม่เหมาะสม สามารถแจ้งได้ที่อีเมล์ online@naewna.com โดยทีมงานและผู้จัดทำเว็บไซด์ www.naewna.com ขอสงวนสิทธิ์ในการลบความคิดเห็นที่พิจารณาแล้วว่าไม่เหมาะสม โดยไม่ต้องชี้แจงเหตุผลใดๆ ทุกกรณี
3.ขอบเขตความรับผิดชอบของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ อยู่ที่เนื้อหาข่าวสารที่นำเสนอเท่านั้น หากมีข้อความหรือความคิดเห็นใดที่ขัดต่อข้อ 1 ถือว่าเป็นกระทำนอกเหนือเจตนาของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ และไม่เป็นเหตุอันต้องรับผิดทางกฎหมายในทุกกรณี