ภาพในฝันของใครหลายคน ได้รับอิทธิพลมาจากนิยาย และเพลง “พี่ชายที่แสนดี” ของคุณอุ้ย ระวิวรรณ จินดา ที่โด่งดังมากสมัยก่อน “พี่คนนี้ยังคอยคุ้มครอง คุ้มภัย น้องเอยอย่ากลัวใครเขา....... สองพี่น้องเดินไป น้องตามพี่ชาย.......พี่ชาย ที่แสนดี”
ตื่น ตื่น ตื่นก่อนค่ะ !!! เพลงจบแล้ว
ภาพชีวิตจริง ดูไม่ค่อยเฉียดเท่าไหร่ ใช่ไหมคะ ?
พี่น้องแย่งของ ซัดกันอั้ก อั้ก ผลักกันล้มหัวคะมำ ฟาดเข้าที่หลังกันแรงๆ คว้าเอาของเล่นแข็งๆ มาตีหัวกัน คนนี้ก็ชอบหาเรื่อง อีกคนก็ขยันฟ้องซะจริง
อื้ม.... อันนี้ค่อยใกล้เคียงความจริงขึ้นมาหน่อย
พ่อแม่หลายบ้านกำลังหนักใจที่ลูกไม่รัก ไม่สามัคคี ไม่มีน้ำใจต่อกัน มาลองดูกันหน่อยดีกว่า ว่าพวกเราผู้ใหญ่จะทำอะไรกับปัญหาแบบนี้ได้บ้าง
พ่อแม่ที่กำลังจะมีลูกคนที่สอง หรือสาม หรือมากกว่านั้น ต้องมีสติและปัญญาพอที่จะเข้าใจว่า ทันทีที่ลูกคนน้องลืมตา ออกมาจากท้องแม่ ความเปลี่ยนแปลงครั้งยิ่งใหญ่ในชีวิตคนพี่ ได้ก่อกำเนิดขึ้นแล้ว
(ขอให้ย้อนอ่านบทความเรื่อง ได้น้องอย่าลืมพี่ ประกอบด้วย)
พ่อแม่ควรต้องปฏิบัติกับพี่และน้อง อย่างเหมาะสมตั้งแต่ต้น ไม่ปล่อยให้ปัญหามันเติบใหญ่ทีละนิด จนถึงวันหนึ่งจะยากมากในการแก้ไข
ถ้าพ่อแม่เริ่มรู้สึกตัวว่า ท่านเริ่มกลุ้มใจ เหนื่อยหน่ายใจ เบื่อที่ลูกๆ ทะเลาะกันอยู่ได้ ฝ่ายนึงก็ยอมตลอด หรือไม่ก็ไม่มีใครยอมใครเลย นั่นแปลว่าปัญหานี้มันก่อตัวมามากพอสมควร ถึงจุดที่ท่านต้องจริงจังกับการเปลี่ยนแปลงได้แล้ว
คนที่ต้องได้รับความช่วยเหลือก่อน คือคนที่ลงมือกระทำคนอื่น สังเกตนะคะ หมอใช้คำว่า “ได้รับความช่วยเหลือ” ไม่ใช่ “ได้รับการลงโทษ”
ธรรมชาติของทั้งเด็กและผู้ใหญ่ ต้องการความรัก ต้องการได้รับการยอมรับ ต้องการคำชื่นชม โดยเฉพาะกับเด็ก พวกเขาต้องการความสนใจ ใส่ใจอย่างมากจากผู้ใหญ่ที่เขารัก
พ่อแม่ผู้ใหญ่เกือบทั้งหมดมักทำอย่างนี้ ตอนที่ลูกทำอะไรบางอย่างดีๆ ผู้ใหญ่ก็มักจะเฉยๆ พอเขาพลาดพลั้งทำอะไรบางอย่างแย่ๆ ขึ้นมา เมื่อนั้นผู้ใหญ่จะหันมาหาเขาทันที นานวันเข้าลูกจะเรียนรู้ไปผิดๆ ว่า ถ้าอยากให้พ่อแม่สนใจ ต้องก่อความวุ่นวายอะไรสักอย่างขึ้นมาก่อน
เหตุผลนี้อาจฟังดูแปลกสักหน่อย แต่มันเป็นความจริงที่ว่ามีคนสนใจแบบลบๆ ก็ยังดีกว่าไม่มีใครมาสนใจเลย ภาษาหมอเรียกความสนใจแบบนี้ว่า negative attention ซึ่งไม่ดี ไม่ควรให้เด็กเรียนรู้สิ่งผิดๆ ไปเรื่อยๆ
ถ้าต้องการเปลี่ยนการกระทำไม่ดีของเด็ก ให้เปลี่ยนจาก negative (ด้านลบ) ไปเป็น positive (ด้านบวก) ให้ได้วิธีการคือ เมื่อลูกๆ เล่นกันดี มีน้ำใจต่อกัน พูดจาสุภาพต่อกัน แบ่งปันกัน สนุกสนานร่วมกัน ช่วยเหลือกัน ผู้ใหญ่ต้อง “ไว” ต่อสิ่งนี้มากขึ้นอย่างมาก เมื่อสังเกตเห็น รีบให้คำชมเชยเดี๋ยวนั้น ทันที
จง “อย่าปากหนัก” ในการชมพฤติกรรมของลูก
“แม่มีความสุขจังที่ลูกเล่นกันดีดี”
“พี่น้องเค้ารักกันมากเลยนะเนี่ย เห็นแล้วปลื้มใจจริงๆ”
“พ่อกลับจากทำงาน หายเหนื่อยเลยลูก เห็นลูกเล่นกันสนุกขนาดนี้ เดี๋ยวพ่อเปลี่ยนชุดแล้วลงมาเล่นด้วยนะ”
ประโยคทำนองนี้ล่ะค่ะ พูดทุกครั้งที่ลูกทำถูก แต่แน่นอน เด็กเล่นกันมันไม่มีทางราบรื่นทุกครั้งหรอก เมื่อผู้ใหญ่เห็นว่า ลูกๆ เริ่มไม่พอใจกัน ถ้าเป็นเด็กวัยอนุบาล พวกเราคงต้องเข้าไปมีส่วนร่วมสักหน่อย อาจจับคนใดคนหนึ่งแยกไปก่อน ชวนคุย ถามว่าลูกไม่พอใจว่าอะไร ให้ลูกได้เล่าออกมา (เด็กอนุบาลคงเล่าไม่ถึงกับได้ใจความอะไรมากนัก) เบี่ยงเบนความสนใจไปเรื่องอื่นๆ ก็ได้ เด็กวัยนี้ แป๊บเดียวก็หายหงุดหงิดแล้วค่ะ
สำหรับเด็กเล็ก หลักการคือ
1. ต้องมีผู้ใหญ่อยู่แถวๆ นั้น คอยสังเกตการณ์เล่นของเด็กๆ ตลอดเวลา
2. เมื่อเริ่มๆ ไม่พอใจกัน ยื้อแย่งกัน ลงไม้ลงมือกัน ผู้ใหญ่ต้องเข้าไปดูทันที
3. การจับแยกออกมา เบี่ยงเบนความสนใจ ให้เด็กได้ระบายความรู้สึก ใช้ได้ดีมากในเด็กวัยนี้
4. อย่าปล่อยให้ถึง “จุดระเบิด” ทำกันแรงๆ เจ็บๆ เพราะเมื่อถึงจุดนั้น ผู้ใหญ่ก็จะระเบิดเหมือนกัน ต้องมีเด็กสักคนเจ็บตัวจนได้ ในที่สุดเด็กก็จะเรียนรู้ไปผิดๆ เรื่องการใช้กำลัง
เมื่อจัดการได้ดีมาตั้งแต่เด็กยังเล็ก โตขึ้นมาปัญหามักจะไม่รุนแรงมากแล้ว แต่ที่พบบ่อยๆ ว่า เด็กวัยประถมทะเลาะกันแรงๆ กับพี่หรือน้อง ส่วนใหญ่มักมาจากผู้ใหญ่ทำอะไรพลาดไปก่อนหน้านั้น โดยไม่ได้รับการแก้ไข
คำแนะนำสำหรับพ่อแม่ที่มีลูกโตขึ้นมาหน่อย
1. ถ้าเด็กๆ ไม่พอใจกันเล็กๆ น้อยๆ ดูแล้วไม่มีทีท่าว่าจะลุกลามบานปลาย ผู้ใหญ่ต้อง “อดใจ” ให้ได้ที่จะ “ไม่เข้าไปแทรกแซง” ลองดูนะคะ แล้วท่านจะ “รู้สึกทึ่ง” ว่าลูกๆ ของท่านก็มีทักษะการ “เจรจาต่อรอง” อย่างที่ท่านไม่เคยคิดมาก่อนเลย
2. เมื่อลูกๆ ปฏิบัติการสำเร็จ จากที่หงุดหงิดๆ ใส่กัน กระทั่งต่อรองอะไรกันบางอย่าง จนที่สุดกลับมาเล่นกันอย่างราบรื่นเหมือนเดิม จังหวะนี้ต้องใส่คำชมแล้วค่ะ
“ตอนแรกแม่มองๆ อยู่ ไม่ค่อยมั่นใจเท่าไหร่ว่าแม่ต้องทำอะไรมั้ย แต่ตอนนี้แม่มั่นใจเต็มที่เลยว่าลูกๆ แก้ปัญหากันเองได้ แม่ภูมิใจในตัวลูกๆ มากเลยจ้ะ”
3. แต่ถ้าลูกบ้านท่านไม่ได้ถูกฝึกมาอย่างที่หมอแนะนำตั้งแต่ต้น ทุกวันนี้ถึงขั้นใช้ความรุนแรงใส่กันบ่อยๆ แล้ว ผู้ใหญ่ก็ต้องเข้าไปมีบทบาทแล้วค่ะ
วิธีการช่วยเหลือ
1.ผู้ใหญ่ต้อง “ข่มอารมณ์” ของตัวเองให้ได้ ไม่โวยวาย ไม่กราดเกรี้ยว ไม่ลงไม้ลงมือ ถึงตอนนี้ท่านคงเข้าใจมากขึ้นแล้วว่า ที่ลูกๆ ของท่านใช้กำลังกัน ส่วนหนึ่งก็น่าจะมาจากตัวท่านนั่นเอง
2.หยุดการใช้ความรุนแรงทันที บอกลูกทุกคนว่า บ้านเราไม่อนุญาตให้ทำร้ายร่างกายกัน จับแยกคู่ต่อสู้ออกมา ด้วยความ “สงบ” ไม่ฉุดกระชากลากถู ไม่ดุด่าว่ากล่าว ไม่พร่ำบ่นไปเรื่อย
3.พาลูกคนใดคนหนึ่งแยกออกไปคุยกัน ให้ลูกเล่าให้ฟัง คำถามที่ควรถามคือ
เกิดอะไรขึ้น ?
ลูกหงุดหงิดว่าอะไร ไม่พอใจอะไร ?
แล้วลูกทำอย่างไร ?
ลูกอยากให้เป็นอย่างไร ?
พออารมณ์ดีขึ้นแล้ว ลูกจะทำอย่างไรต่อไป ?
4.เชื่อไหมคะ เพียงผู้ใหญ่ตั้งใจถาม ตั้งใจฟังคำตอบ ด้วยความรักความเมตตาต่อลูก เท่านี้ลูกของท่านก็สำนึกผิดจะแย่แล้ว สุดท้ายลูกจะบอกเองด้วยซ้ำว่า ลูกก็ผิดเหมือนกัน และที่สำคัญอารมณ์โกรธก็แทบจะหายเป็นปลิดทิ้ง สิ่งที่ลูกได้รับคือ ความเข้าใจจากผู้ใหญ่ที่เขารัก นั่นคือสิ่งที่ทุกคนต้องการเหนือสิ่งอื่นใดค่ะ
5. ผู้ใหญ่ไม่จำเป็นต้องอบรมสั่งสอนอะไรอีกเลย ได้โปรด อย่าทำตัวเป็น “เปาบุ้นจิ้น” ทุกครั้งที่เด็กทะเลาะกัน
6.ผู้ใหญ่
อย่าเข้าไปตัดสิน
อย่าไปออกคำสั่งให้คนไหนทำอะไร
อย่าบอกให้พี่ยอมน้อง
อย่าใช้วิธี “ตีทั้งคู่”
อย่าสั่งให้คืนดีกัน (ถ้าพวกเขายังไม่พร้อม ลูกๆ จะทำๆ ไปให้พ้นๆ เท่านั้น)
ทั้งหมดนี้ด้วยเหตุผลเดียวเลยคือ คนที่ทะเลาะกัน ไม่มีใครถูกใครผิดร้อยเปอร์เซ็นต์หรอก ต่างคนต่างไม่สบอารมณ์กันก็แค่นั้นเอง
7.สิ่งที่ผู้ใหญ่ต้องบอกเด็กๆ มีแค่ข้อเดียวคือ บ้านเรา “ไม่อนุญาตให้ใครทำร้ายกัน” ที่พ่อแม่ต้องเข้ามาคุยกับลูก ก็เพราะเรื่องนี้
8.ให้ลูกแต่ละคนไปหาอย่างอื่นทำสักครู่ พวกเขาจะกลับมาเล่นกันต่อ เด็กก็เป็นเช่นนี้เอง
ข้อคิดแถมท้าย
ผู้ใหญ่อย่าแบ่งฝักแบ่งฝ่ายกันเอง
คนนี้ลูกพ่อ อีกคนลูกแม่
หรือคนนี้คนโปรดคุณตา หลานข้าใครอย่าแตะ
หลายๆ บ้านลูกไม่รัก ไม่สามัคคีกันก็เพราะผู้ใหญ่ล้วนๆ อย่าให้ลูกอันเป็นที่รักต้องตกเป็นเหยื่อทางอารมณ์ของผู้ใหญ่เลยนะคะ
ติดตาม “Dad Mom and Kids เพื่อชีวิตที่ดีกว่า” ได้ที่นี่ ทุกวันค่ะ
เงื่อนไขการแสดงความคิดเห็น ซ่อน
โปรดอ่านก่อนแสดงความคิดเห็น
1.กรุณาใช้ถ้อยคำที่ สุภาพ เหมาะสม ไม่ใช้ ถ้อยคำหยาบคาย ดูหมิ่น ส่อเสียด ให้ร้ายผู้อื่น สร้างความแตกแยกในสังคม งดการใช้ถ้อยคำที่ดูหมิ่นหรือยุยงให้เกลียดชังสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์
2.หากพบข้อความที่ไม่เหมาะสม สามารถแจ้งได้ที่อีเมล์ online@naewna.com โดยทีมงานและผู้จัดทำเว็บไซด์ www.naewna.com ขอสงวนสิทธิ์ในการลบความคิดเห็นที่พิจารณาแล้วว่าไม่เหมาะสม โดยไม่ต้องชี้แจงเหตุผลใดๆ ทุกกรณี
3.ขอบเขตความรับผิดชอบของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ อยู่ที่เนื้อหาข่าวสารที่นำเสนอเท่านั้น หากมีข้อความหรือความคิดเห็นใดที่ขัดต่อข้อ 1 ถือว่าเป็นกระทำนอกเหนือเจตนาของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ และไม่เป็นเหตุอันต้องรับผิดทางกฎหมายในทุกกรณี