พังเดือน ขาประจำสัญจร ลูกทีม เถ่าชิ่วสุทัศน์ แห่งคอลัมน์ตู้กับข้าว งวดนี้ล่องใต้ไป “เมืองร้อยเกาะ เงาะอร่อย หอยใหญ่ ไข่แดง แหล่งธรรมะ” นั่นคือ จังหวัดสุราษฎร์ธานี ตั้งอยู่ในฝั่งตะวันออกของภาคใต้ มีจำนวนเกาะในเขตพื้นที่จังหวัดมากถึง 108 เกาะ นับว่ามากที่สุดเป็นอันดับ 3 ของประเทศ รองมาจากจังหวัดพังงาที่มี 155 เกาะ และจังหวัดภูเก็ตที่มี 154 เกาะ นอกจากนี้ ยังมีผลิตผลและผลิตภัณฑ์ทางการเกษตรที่เป็นที่รู้จัก เช่น ไข่เค็มไชยา หอยนางรม และเงาะโรงเรียน ดังที่ปรากฏในคำขวัญของจังหวัด
การเดินทางครั้งนี้ ใช้เวลาประมาณชั่วโมงนิดๆ ถึงสนามบินของจังหวัด เขื่อนรัชชประภา คือจุดหมายของเรา มีชื่อเรียกดั้งเดิมว่า เขื่อนเชี่ยวหลาน เป็นเขื่อนอเนกประสงค์แห่งที่สองของภาคใต้ อยู่ในจังหวัดสุราษฎร์ธานี ได้รับพระมหากรุณาธิคุณจากพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวรัชกาลที่ 9 พระราชทานนามให้ใหม่ว่า “เขื่อนรัชชประภา” มีความหมายว่า “แสงสว่างแห่งราชอาณาจักร” ทัศนียภาพโดยรอบบริเวณเขื่อนและอ่างเก็บน้ำ สวยสดงดงาม และสงบร่มรื่น เหมาะแก่การไปเที่ยวพักผ่อนหย่อนใจ และสามารถดึงดูดนักท่องเที่ยวปีละกว่า 70,000 คน ให้เดินทางมาเยี่ยมชม พื้นที่อ่างเก็บน้ำมีทัศนียภาพอันงดงาม ประกอบด้วยยอดเขาหินปูนที่โผล่พ้นน้ำขึ้นมามากมาย จนได้รับฉายาว่า "กุ้ยหลินเมืองไทย"
ก่อนลงเรือไปที่พัก เราเริ่มอาหารเช้า ประมาณเกือบ 11โมง ที่ร้านอาหารบริเวณปากทางเข้าเขื่อน
ปลาแรดทอดกระเทียม
ปลาตัวใหญ่และสดมากเกือบล้นจาน คิดไปถึงกระทะที่ทอดปลาต้องใหญ่มากๆ ด้วย เพราะปลาทอดได้กรอบทั้งตัว พวกเรากินปลาตัวนี้ แบบแมวสะอื้น
แกงส้มยอดมะพร้าวปลากด
รสชาติจัดจ้าน เผ็ด เปรี้ยว เค็ม มาพร้อม ไม่ติดหวาน ยอดมะพร้าวชิ้นใหญ่ แต่เนื้ออ่อนเคี้ยวได้สบายกรุบกรอบ ส่วนปลากดนั้นเนื้อไม่คาว ไม่มีกลิ่นดิน
น้ำพริกกะปิกุ้งสด กินแนมกับผักต่างๆ
ใบเหลียงผัดไข่ ผักเหมียงหรือ ผักเหลียง
ถ้าเป็นชาวปักษ์ใต้แท้ก็จะเรียกผักเขรียง เป็นผักที่มีเฉพาะในท้องถิ่นภาคใต้ มีถิ่นกำเนิดจากประเทศสิงคโปร์ เดิมเป็นผักป่าขึ้นเองทั่วไป ต่อมาเมื่อนิยมบริโภคกว้างขวางมากขึ้น ก็มีชาวบ้านเอามาปลูกร่วมกับยาง ปรากฏว่าต้นงามและรสชาติอร่อย จึงขยายพันธุ์และปลูกเป็นพืชเศรษฐกิจ ผักนี้นอกจากอร่อยแล้ว ยังมีวิตามินเอสูงด้วย
อิ่มท้องแล้ว ยังติดใจกับปลาแรดตัวใหญ่ ดูราคาปลาทอดตัวนี้ ราคา 520 บาท ราคาเอาเรื่องอยู่ แต่เป็นแหล่งท่องเที่ยว รสชาติถูกใจ พอรับไหว
ตกเย็น หลังจากเล่นน้ำ พายเรือแคนูกันจนหมดเรี่ยวแรง เมื่อถึงอาหารเย็นเราเริ่มด้วยปลาแรด ทอดกระเทียมซ้ำอีกเพราะยังติดใจความสดหวานของปลาตัวใหญ่ ตามด้วยแกงส้มปลากดใส่หน่อไม้ดองผัดผักรวม และไข่เจียว อาหารมื้อนี้ เป็นราคาเหมาต่อหัว หัวละ 200 บาท กับข้าวสามารถเติมได้ทุกอย่าง ยกเว้นปลาแรด พวกเราเติมแกงส้มกันหลายครั้ง แกงส้มของภาคใต้ รสชาติจัดจ้าน เผ็ดเค็มมาครบสะใจ คนติดรสหวานอย่างเรา ได้กินแกงส้มของที่นี่ก็ติดใจด้วยมันกลมกล่อม แม้จะไม่มีรสหวาน แต่ก็เข้ากันดีกับไข่เจียว และปลาทอดเป็นที่สุด
วันรุ่งขึ้น อาหารเช้าเป็นชา กาแฟ ขนมปังปิ้ง และข้าวต้มไก่แบบง่ายๆ ล่องแพไปชมธรรมชาติของเขื่อน ดูนกชมไม้ แบบไร้คลื่นโทรศัพท์ใดๆ มารบกวน บรรยากาศเลิศสุดๆ ก็กลายเป็นมื้อเช้าที่วิเศษสุดๆไปได้
กลับจากล่องแพ เราเก็บกระเป๋า เตรียมตัวออกเดินทางเข้าเมืองสุราษฎร์ฯ เที่ยงนี้เราใช้บริการเหมารถ 2 แถว เที่ยวรอบๆ เขื่อน แวะชิมขนมจีนบริเวณภูเขารูปหัวใจ สะพานแขวนเขาพัง
สะพานแขวนเขาพัง
หรือ สะพานแขวนบ้านเขาเทพพิทักษ์ ตั้งอยู่ก่อนถึงทางเข้าเขื่อนเชี่ยวหลานเล็กน้อย เป็นสะพานที่สร้างขึ้นโดยองค์การบริหารส่วนตำบลเขาพัง เมื่อปี 2546 อยู่ข้างวัดเขาพัง เพื่ออำนวยความสะดวกแก่ชาวบ้านทั้งสองฝั่งคลองในการขนส่งพืชผลทางการเกษตร สะพานแขวนเขาพังเป็นสะพานขึงลวดสลิงข้ามคลองพะแสง ทิวทัศน์โดยรอบสวยงามมากโดยสร้างข้ามคลองพะแสงบริเวณวัดเขาพัง ตัวสะพานใช้ลวดสลิงขนาดใหญ่ขึงยึดกับเสาคอนกรีต พื้นปูด้วยแผ่นไม้กระดานบนโครงเหล็ก มีความยาว 120 เมตร บริเวณสะพานแขวนมีทิวทัศน์ที่สวยงามของธรรมชาติคลองพะแสง และธรรมชาติสองฝั่งคลอง ฉากหลังเป็นความงดงามของเขาเทพพิทักษ์ หรือ เขารูปหัวใจ ที่เห็นได้อย่างชัดเจน ซึ่งขณะนี้เริ่มเป็นที่สนใจของนักท่องเที่ยวเป็นอย่างมาก ข้อมูลของสะพานที่เราไปค้นมา เป็นหัวข้อสนทนาในระหว่างมื้อขนมจีนของเรา ว่าสะพานมีไว้ทำไมนะ และทำไมต้องเป็นสะพานแขวน บลาๆๆ
หม้อน้ำยา
กลับมาเรื่องขนมจีนของเรา เราสั่งแกงมากินทั้งหมด ของที่ร้านมีแกงไตปลา แกงเขียวหวานไก่ น้ำยากะทิทางใต้ สีจะออกเหลืองๆ เพราะใส่ขมิ้น ไม่เป็นสีส้มๆ แบบที่เราคุ้นตาในกรุงเทพฯ
ชุดขนมจีนผักเหนาะ
และที่ชอบกันมากๆ คือผักต่างๆ ที่กินคู่กับขนมจีน ภาคใต้จะเรียกผักที่กินกับขนมจีนว่า “ผักเหนาะ” ผักสดพื้นบ้านทางภาคใต้ ที่นิยมกินกับขนมจีนก็มียอดมันปู ยอดมะม่วงหิมพานต์ (หัวครกหรือม่วงเล็ดล่อ) สะตอ ลูกเนียง ยอดมะกอก ยอดทำมัง ยอดลูกฉิ่ง เม็ดกระถิน ผักทั่วไปก็จะมีแตงกวา ผักกระเฉด ถั่วพู ถั่วฝักยาว ถั่วงอก มะเขือเปราะ ใบบัวบก และมีน้ำยาน้ำพริก ใส่กระปุกวางไว้ให้กินแกล้มด้วย แต่ที่เราติดใจกินไปเติมไปหลายยกคือ ผักกูดต้มกะทิ
โล่งโต้งร้านยกเข่ง
นอกจากขนมจีนแล้ว ยังมี “โล่งโต้ง” เอ๊ะมันคืออะไร ลองถามแม่ค้า มันคล้ายๆ ก๋วยจั๊บ ลองไปสืบหาข้อมูล "โล่งโต้ง" ชื่อแปลกๆ นี้ หลายคนอาจจะไม่รู้จักรวมทั้งเราด้วย แต่เป็นชื่อที่คุ้ยเคยกันดีของชาวสุราษฎร์ นั่นก็คือของกินที่เหมือนก๋วยเตี๋ยว แต่จะประกอบไปด้วย เส้นหมี่น้ำใส กระดูกหมู เลือด ไส้หมู และอื่นๆ แล้วแต่สูตรของแต่ละพื้นที่ ว่ากันว่า โหล่งโต้ง ออกเสียงแบบชาวใต้ สูตรดั้งเดิมมีขายเฉพาะในสุราษฎร์ฯ เท่านั้น สมัยก่อนนี้คนจีนไหหลำก็จะใช้วิธีหาบขายไปตามท้องตลาดกับแถวๆ ชุมชนอันเป็นที่อยู่อาศัยจนเมื่อประมาณ 40 ปีที่ผ่านมา กิมเฮียง แซ่หย่ง เกิดตั้งหลักปักฐานเปิดเป็นร้านแบบถาวรขึ้นยังบ้านที่เป็นห้องแถวเรือนไม้ตรงถนนต้นโพธิ์ย่านใจกลางเมืองนั่นเอง ปรากฏว่าเป็นที่ถูกอกถูกใจแก่บรรดาลูกค้ามากหน้าหลายตาก็เลยขายเป็นอาชีพเรื่อยมา
ปัจจุบันกิมเฮียงอายุกว่า 80 ปีเข้าไปแล้ว จึงคิดวางมือจากการขายโล่งโต้งแล้วหันมาขายข้าวเหนียวมะม่วงตามฤดูกาลแต่เพียงอย่างเดียวแทน เพื่อจะได้พักผ่อนในช่วงบั้นปลายของชีวิต ปล่อยให้ลูกสาวคือ “ยกเข่ง” หรือ “หยกเค่ง” ชื่อจริงสุชาดา แซ่จิว ด้วยวัย 60 ปี รับไม้ต่อแทนมากระทั่งทุกวันนี้
แอปเปิ้ลน้ำ
อิ่มจากของคาว มองหาของหวาน แม่ค้าแนะนำลูกเขียวๆ กลมๆ ตอนแรกเราคิดว่าแอปเปิลเขียว แม่ค้าบอกแอปเปิลน้ำ หรือลูกกาโด้ ลองซื้อมาชิม ข้างในขาวๆ คล้ายน้อยหน่า อร่อยดี พอลองชิม เราคิดได้ว่า เคยชิมตอนเด็กกว่านี้ ตอนไปเที่ยวเชียงใหม่ แต่ที่เหนือ เรียก แอปเปิ้ลสตาร์ น้องอีกคนเป็นคนอีสานเธอว่า บ้านเธอเรียกบักนม
นอกจากลูกกาโด้ ที่เราซื้อติดมือมาแล้ว ยังพ่วงด้วยกล้วยหอม และกล้วยไข่ อีกอย่างละหวี กล้วยหอมที่นี่ลูกใหญ่ และที่สำคัญถูกมากๆ หวีหนึ่ง ลูกโตๆ หวีละ 25 บาท พวกเราอยากจะซื้อกลับกันคนละหลายๆ หวี แต่ติดขัดตรง กว่าเราจะกลับกรุงเทพฯ คงช้ำไปก่อน และที่สำคัญน้ำหนักขึ้นเครื่องคงเกินที่สายการบินกำหนดแน่ๆ เมื่อกลับมากทม. ลองมาค้นข้อมูลดู จึงพบว่าเกษตรกรสุราษฎร์ธานีหันมาปลูกกล้วยหอมทองส่งออกแทนการปลูกยางพารา หลังราคายางตกต่ำ และเป็นนโยบายของรัฐบาลด้วยนั่นเอง
มื้อเย็น เราไปเดินเล่นที่ตลาดนัด ตลาดน้ำบ้านดอน “บ้านดอน” คือคำที่คนในจังหวัดสุราษฏร์ธานีใช้เรียกเขตอำเภอ ของตั้งขายกันบริเวณสวนสาธารณะศรีตาปี ริมแม่น้ำตาปี จะไม่มีขายของในเรือ บรรยากาศโดยรอบก็จะร่มรื่น ด้านหน้าจะมีวิวแม่น้ำตาปี เราเดินไปเรื่อยๆ จนถึงตลาดศาลเจ้า หรือถนนคนเดินยามราตรีของคนเมืองสุราษฎร์ธานี เป็นตลาดกลางคืนที่มีรถเข็นมาขายของและมีความหลากหลายมากๆ แห่งหนึ่ง ที่เห็นคนยืนรอมากๆ คือร้านเนื้อปลาทอดมันย่าง ปั้นเป็นลูกกลมๆ เสียบไม้ย่าง และผัดไทยท่าฉาง
เนื้อปลาทอดมันย่าง (แจงลอน)
เนื้อปลาทอดมันย่าง หรือเราเคยเห็นเรียกว่าแจงลอน ชุดละ 20 บาท มี 4 ไม้ เรารอต่อคิวสักพักใหญ่ๆ พ่อค้าพูดว่า “อย่าแคบๆ” เรายืนงง คิดว่าไปเกะกะ เพราะคนยืนรออยู่หลายคนและทางแคบๆ จนป้าเจ้าของร้านพูดว่า ลุงเค้าหมายถึง “ใจเย็นๆ ไม่ต้องรีบ” เราลองชิมดู ก็อร่อยดี ไม่คาว ร้อนๆ กินตอนหิวๆ ให้กินคนเดียว 10 ไม้ เราก็สามารถนะ
ผัดไทยท่าฉาง
เดินต่อไปเรื่อยๆ จนเกือบถึงทางออก เอ๊ะหรือทางเข้า มีคนยืนต่อคิว และนั่งรอที่โต๊ะอีกหลายโต๊ะ ที่หน้าร้านเขียนผัดไทยท่าฉาง มีโต๊ะเล็กๆ ว่าง เลยนั่งรอบ้าง ป้าข้างๆ ที่นั่งรออยู่ก่อน 2 ท่าน เราเลยขอนั่งด้วย ป้าบอกอร่อย ลองชิมดู นั่งรอสักพักใหญ่ ถึงคิวของเรา ทุกคนชิมแล้วบอกหวานมาก แต่เราชอบมาก รู้สึกเหมือนเค้าผัดใส่กะทิแฉะๆ อร่อยดี กินแนมกับถั่วงอกดิบ และใบกุยไฉ่ บีบมะนาวไปนิดหน่อย ให้กิน 2 จาน หมดแน่นอน ราคาจานละ 40 บาท
วันรุ่งขึ้น มื้อเช้าเราวางแผนตั้งแต่เมื่อคืน โดยตุนขนมปัง น้ำเต้าหู้ และเสบียงที่มีเป็นอาหารเช้า ทั้งกล้วยหอม กล้วยไข่ แต่คุณป้าเจ้าของที่พักบริการข้าวต้มหมูใส่ตับ และปาท่องโก๋ เป็นอาหารเช้า รวมถึงชมพู่มะเหมี่ยวเด็ดจากต้นในสวน เลยขออนุญาตประชาสัมพันธ์ ที่พักเปิดใหม่ริมแม่น้ำตาปีไว้เป็นตัวเลือก ใกล้สถานีรถไฟ เดินทางสะดวก “นีลวัฒน์ ริเวอร์ไซด์”
ก่อนจะกลับกทม. หลังจากแวะไหว้พระบรมธาตุไชยาและสวนโมกข์ เราตกลงจะไปชิมอาหารทะเลแถวพุมเรียง คุณป้าเจ้าของที่พัก นีลวัฒน์ แนะนำว่าอาหารอร่อย มี 2 ร้าน เลือกได้ตามอัธยาศัย แต่ไม่แนะนำปลากะพง
ต้มส้มปลากระบอก
ต้มส้มของคนใต้ไม่เหมือนที่เราเคยรู้จัก น้ำไม่สีคล้ำแบบที่เคยคิดว่าเหมือนน้ำขี้โคลน รสชาติเปรี้ยวอมหวานตามแบบฉบับภาคใต้
ปลาทรายทอดขมิ้น
ปลาทรายทอดขมิ้น จานนี้โดนใจ ปลาทอดกรอบกินได้ทั้งตัว มีขมิ้นคั่วหอมๆ โรยมาให้เคี้ยว กลิ่นหอม อร่อยกำลังดี
ปูทะเลนึ่ง
ปูทะเลสดๆ ขนาด 3 ตัว กิโล อันปูนึ่งนี้หากได้กินสดๆ กินที่ไหนก็อร่อย แบบไม่ต้องมีน้ำจิ้มก็ยังได้
ไปเยือนจังหวัดสุราษฏร์ฯ ครั้งนี้ ทำให้พวกเราแน่ใจเพิ่มขึ้นว่า ประเทศไทยของเรา สวยที่สุด อาหารอร่อยที่สุด ไม่แพ้ชาติใดๆ ในโลกแน่นอน ฉันรักเมืองไทย
ปล. อาหารต่างๆ ที่ได้ไปชิมมา เป็นร้านข้างทาง ธรรมดาๆ ที่คนเดินดินกินข้าวแกง เป็นประจำ สามารถลองลิ้มชิมรสได้ทุกมื้อ เป็นความคิดเห็น และรสนิยมส่วนตัว ไม่มีแสตนอิน ไม่มีสลิง ใดๆ นะคะ
เรื่องและภาพ ดวงเดือน รัตติสุวรรณ
เงื่อนไขการแสดงความคิดเห็น ซ่อน
โปรดอ่านก่อนแสดงความคิดเห็น
1.กรุณาใช้ถ้อยคำที่ สุภาพ เหมาะสม ไม่ใช้ ถ้อยคำหยาบคาย ดูหมิ่น ส่อเสียด ให้ร้ายผู้อื่น สร้างความแตกแยกในสังคม งดการใช้ถ้อยคำที่ดูหมิ่นหรือยุยงให้เกลียดชังสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์
2.หากพบข้อความที่ไม่เหมาะสม สามารถแจ้งได้ที่อีเมล์ online@naewna.com โดยทีมงานและผู้จัดทำเว็บไซด์ www.naewna.com ขอสงวนสิทธิ์ในการลบความคิดเห็นที่พิจารณาแล้วว่าไม่เหมาะสม โดยไม่ต้องชี้แจงเหตุผลใดๆ ทุกกรณี
3.ขอบเขตความรับผิดชอบของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ อยู่ที่เนื้อหาข่าวสารที่นำเสนอเท่านั้น หากมีข้อความหรือความคิดเห็นใดที่ขัดต่อข้อ 1 ถือว่าเป็นกระทำนอกเหนือเจตนาของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ และไม่เป็นเหตุอันต้องรับผิดทางกฎหมายในทุกกรณี