เรื่องและภาพ ดวงเดือน รัตติสุวรรณ (แทน)
พังเดือน ลูกทีมเถ่าชิ่วสุทัศน์ ได้ไปเยือนจังหวัดตรัง จังหวัดทางใต้ของประเทศ เป็นถิ่นกำเนิดต้นยางพารา นอกจากนี้ ตามเสียงลือเสียงเล่าอ้างว่าคนตรังกินข้าว 9 มื้อ ความหมายคือมีของกินตลอดเวลา ไม่ว่าเพลาไหน คือมีของกินครบทั้งของคาวหวาน กินเล่นและกินจริง ได้ชื่อว่าอิ่มจัง ตรัง อยู่ครบอย่างแท้จริง
มื้อแรกประเดิมด้วย ซุปเปอร์ราดหน้าทะเล แห่งร้านล่อคุ้ง อำเภอกันตัง ร้านเก่าแก่ คู่บ้านคู่เมือง มาในจานเปลใหญ่มาก มาเต็มๆ ทั้งกุ้ง เนื้อปู ปลา กลิ่นหอมตั้งแต่ยกมาจนต้องกลืนน้ำลาย ราดหน้าของที่นี่น้ำไม่เหนียวแบบกินที่กรุงเทพฯ สีน้ำราดออกแดงแบบสีของหัวกุ้ง รสชาติไม่ติดหวาน กลมกล่อมโดยไม่ต้องปรุงเพิ่ม ก๋วยเตี๋ยวเส้นใหญ่ผัดมาได้ไหม้กำลังดีหอมกลิ่นกระทะ เครื่องแน่น ราคา 280 บาท กินจานเดียวจนต้องยั้งไว้ก่อน
พระยารัษฎานุประดิษฐ์มหิศรภักดี (คอซิมบี้ ณ ระนอง)
จากร้านล่อคุ้ง ขับรถชมเมือง อำเภอกันตัง อำเภอเก่าแก่ของจังหวัดตรัง ตั้งอยู่ริมฝั่งแม่น้ำตรัง ครั้งหนึ่งเคยเป็นเมืองท่าสำคัญ ศูนย์กลางการคมนาคมทางน้ำมาแต่โบราณ มีท่าเรือแพขนานยนต์ บรรทุกได้ทั้งคนและรถข้ามฟาก จนถึงปัจจุบัน กันตัง ยังคงเป็นเมืองท่าที่สำคัญของจังหวัดตรัง โดยมีการขนส่งสินค้าประเภทตู้คอนเทนเนอร์ผ่านท่าเทียบไปยังปีนัง และที่นี่เราได้ไปเยือน พิพิธภัณฑ์พระยารัษฎานุประดิษฐ์มหิศรภักดี (คอซิมบี้ ณ ระนอง) ซึ่งท่านเป็นผู้นำความเจริญมาสู่อำเภอกันตังจนยกระดับขึ้นเป็นเมืองท่า ทั้งการค้าขาย การส่งเสริมเกษตรกรรม และท่านยังเป็นผู้นำเมล็ดพันธุ์ยางพาราจากประเทศมาเลเซียมาปลูกเป็นต้นแรกของประเทศ เรายังได้เห็นหอเกียรติยศ 100 ปี ของท่านที่ภูเก็ตอีกด้วย รวมทั้งที่ตรังเป็นแห่งที่ 2 แสดงว่าท่านต้องไม่ธรรมดาแน่ๆ
ระหว่างกลับที่พักเห็นรถจักรยานยนต์จอดเรียงรายริมถนนเป็นแถวหลายสิบคัน มีคนเยอะมาก เห็นนั่งกันเป็นแถวยาวตามโต๊ะที่อยู่ริมฟุตบาท เขาขายอะไรกัน สังเกตแล้วปรากฏว่าเป็นร้านขายโรตี ชา กาแฟ และผัดไทย โดยมากยกมากันเป็นครอบครัว ได้ยินเสียงทักทายดูครึกครื้น มีหนุ่มหลายวัยนั่งสังสรรค์กันอยู่หลายโต๊ะ ชนิดไม่มีแอลกอฮอล์ มีเพียงแก้วชา กาแฟ น้ำหวาน ชีวิตในเมืองตรังดูอบอุ่น สบาย เลิกงานรถก็ไม่ติด กลับบ้านมากินข้าวพร้อมหน้า พ่อ แม่ ลูก ลุงป้าน้าอา ทั้งที่เพิ่งอิ่มจากราดหน้ายังต้องขอลองโรตีและชาในบรรยากาศที่หาไม่ได้ที่ไหน
เช้าวันใหม่ขณะขับรถเที่ยวชมเมือง สังเกตเห็นชาวตรังกินขนมจีนและติ่มซำเป็นอาหารเช้า มีร้านติ่มซำหลายร้าน แต่ดันหลงทางไปถึงตลาดสดเสียก่อน เลยได้ของติดมือมาเป็นอาหารเช้าหลายอย่าง ทั้งบะหมี่ที่แม่ค้าทำสำเร็จห่อมาในกระดาษแบกเร่ขาย ขนมอาโป้งที่ทำใหม่ดูคล้ายขนมโตเกียว เคยได้ลองชิมแบบกรอบที่ภูเก็ต กล้วยต้ม และขนมโกซุ้ย ที่เราไม่เคยเห็นมาก่อน คล้ายขนมถ้วยหรือขนมน้ำดอกไม้ แต่เป็นสีน้ำตาลอมแดง กินแกล้มกับมะพร้าวขูด แต่ที่ตรังเป็นมะพร้าวขูดเหมือนที่ใช้คั้นกะทิเจอขนมแป้งๆ แบบนี้เราชอบนักแล ก่อนกลับแม่ค้าชวนให้ซื้อหอยโข่งทะเลสีสันสวยงาม ให้ไปชิมในราคากิโลกรัมละ100 บาท
เราหอบของกินทั้งหมดแวะไปสถานีรถไฟกันตัง ที่ว่าเป็นสถานีสุดทางของรถไฟสายใต้ฝั่งทะเลอันดามัน เราว่าเป็นสถานีรถไฟที่ดูสวย เก๋ที่สุดที่เคยเห็นมา ตัวสถานีมีรถไฟทั้งขาไปและขากลับวันละ 2 เที่ยว คือมาจากกรุงเทพฯ ถึงกันตังก่อนเที่ยง ขากลับออกจากกันตังไปกรุงเทพฯ ในช่วงเย็น ปัจจุบันสถานีรถไฟกันตังได้รับการขึ้นทะเบียนเป็นโบราณสถานโดยกรมศิลปากรแล้ว
เรากินอาหารเช้าที่สถานีรถไฟ พร้อมสั่งน้ำมะม่วงเบาปั่นรสชาติจี๊ดจ๊าดเข้มข้นถึงใจ จากร้านสถานีรัก ร้านกาแฟที่สถานีรถไฟ จัดการวางอาหารเช้า บนเก้าอี้พักรอที่ชานชาลาของผู้โดยสาร ได้ยินเสียงนายสถานีกล่าวทักทายว่า ช่างเป็นมื้ออาหารที่โรแมนติกมากนะ เราก็ว่าแบบนั้นรู้สึกทุกอย่างมันอร่อย แม้เป็นเพียงอาหารธรรมดา
ต่อด้วยขนมเปี๊ยะซอย 9 ทำขนมเปี๊ยะแบบไม่หวงไส้ เป็นร้านขนมที่ใครมาตรังต้องซื้อติดไม้ติดมือมาอย่างน้อยหนึ่งกล่อง วันที่เราไปชิมได้ไส้มาใหม่สดๆ ร้อนๆ คือ ไส้หมูย่าง และได้ชิมไส้เผือก ชาเขียว และมันม่วง ทุกชิ้นมีไข่เค็ม ได้ชิมตอนเพิ่งออกมาจากเตา แป้งด้านนอกกรอบ ด้านในนุ่มอร่อย เราอยากลองชิมให้ครบทุกไส้ในร้าน แต่ใน 1 กล่อง ให้รวมเพียงแค่ 3 รส และต้องไปตั้งแต่ร้านเปิดจึงจะมีไส้ให้เลือกครบ ในร้านยังมีขนมให้ชิมพร้อมน้ำชา แต่ร้านค่อนข้างแคบมีลูกค้าเข้าออกตลอดเวลา
มีขนมเปี๊ยะในมือแล้วจึงหาน้ำชาร้อนๆ สำหรับกินแกล้ม เจอร้านชาโกแจ้งร้านชาสุดอินดี้ เพราะแกเปิดปิดร้านไม่เป็นเวลา สั่งชาผลไม้มาหนึ่งกา ราคา 20 บาท รสชาติเปรี้ยวนำ ฝาดตาม ชุ่มคอดี ซดน้ำชาแกล้มขนมเปี๊ยะ สุดบรรยาย ยิ่งได้ยินแกบอก “นั่งนอกร้านนะครับ ผมจะปิดร้านแล้ว” เชื่อเลยที่ได้ยินสรรพคุณมาว่าอินดี้ ไม่ชอบให้ใครอัพร้านลงสื่อกลัวคนมาเยอะเกิน เลยไม่กล้าหยิบกล้องมาถ่าย แม้จะสนใจอุปกรณ์ในการชงชา เราว่ามันดูคล้ายห้องวิทยาศาสตร์นิดๆ มีพวยแก้ว หลอดทดลอง เตาไฟอะไรประมาณนั้นเลยค่ะ จะปิดร้านก็ปิดไป เราก็ซดน้ำชาของเราไป นั่งรอเวลา 5 โมงเย็น ร้านข้าวต้มปริญญาเปิดอีกรอบ
ตั้งแต่เช้ายังไม่มีข้าวตกถึงท้องเป็นชิ้นเป็นอันเลย จึงเข้าไปในร้านข้าวต้ม มีกับข้าวให้เลือกมากมายละลานตา ทั้งปรุงสำเร็จแล้วนำไปอุ่นร้อนเพิ่ม หรือสั่งทำใหม่ เลือกกับข้าวได้ 2-3 อย่าง รสชาติดีทีเดียว โดยเฉพาะปลาจะละเม็ดดำนึ่งซีอิ๊ว ปลาสดใหม่ กินกับข้าวสวยร้อนๆ ต่อด้วยข้าวต้มอีกถ้วย กำลังดี
ก่อนเข้านอน แวะไปกินโจ๊กแกล้มปาท่องโก๋ ที่ร้านซิวจิว ร้านเก่าแก่ของจังหวัดอีกร้าน นัยว่าร้านเปิดและปิดวันละ 3 รอบ แต่ละรอบจะขายอาหารไม่เหมือนกัน เราไปรอบดึกเพราะอยากกินปาท่องโก๋ที่จะเริ่มทอดตอน 6 โมงเย็น ถ้ามาเวลาอื่นเป็นอด ปาท่องโก๋ตัวใหญ่เนื้อแน่นเคี้ยวเต็มปากเต็มคำ ต่างจากที่เคยกินเนื้อในจะกลวงจิ้มกับสังขยาสีออกน้ำตาลอ่อนเข้ากันที่สุด ฟังเล่ามาว่า ร้านซิวจิว ใช้กระดาษทิชชู่ เป็นกระดาษสีน้ำตาลอ่อนแบบที่ใช้ห่อหมูย่าง เพราะในอดีตลูกค้าที่มานั่งก็จะเป็นชาวสวนยางใช้จดราคายางและยังใช้ต่อมาถึงทุกวันนี้ รวมถึงร้านอาหารเก่าแก่ในจังหวัดตรังหลายร้าน ก็ใช้กระดาษห่อหมูย่างแบบนี้แทนกระดาษทิชชู่ มารู้หลังกลับมากรุงเทพฯ ว่าเคล็ดลับการกินที่ร้านซิวจิวนั้น ต้องนำขนมจีบใส่ลงไปในปาท่องโก๋แล้วราดด้วยน้ำส้มเจือง ซึ่งน้ำส้มเจืองนี้มีแต่ที่ตรังเท่านั้น ใช้กินได้กับทุกอย่าง ไม่ว่าจะกินติ่มซำหรือหมูย่าง เป็นตัวชูรสสูตรเด็ดของเมืองตรังนั่นเอง
เช้าวันใหม่ เราออกจากที่พักตั้งแต่ตี 5 จะไปชิมหมูย่างโกเภา ในตลาดสดเทศบาล ไปถึงร้านฟ้ายังไม่สว่างดี ก็มีลูกค้ารออยู่หลายรายแล้ว ได้ยินเสียงสับหมู สัมผัสได้ถึงความกรอบของหมูย่าง มีรสหวานแบบที่เราชอบ หมูทั้งตัวหมักเครื่องปรุงเฉพาะของแต่ละร้าน และที่ขาดไม่ได้คือน้ำผึ้ง หมักค้างคืน เอาขึ้นย่างทั้งตัว ด้วยเวลาและประสบการณ์ของแต่ละเจ้าใช้ย่างหมูให้สุกเสมอกันทั้งตัว ได้หนังกรอบ แต่เนื้อยังนุ่ม มีรสหวานของน้ำผึ้ง หอมกลิ่นเครื่องยาจีนที่หมักหมู เลยหายสงสัยว่าทำไมคนรอต่อคิวยาวขนาดนี้
ได้หมูย่างโกเภาแล้ว สิ่งที่ไม่ควรพลาดจากตลาดสดเทศบาลอีกอย่างก็คือปากหม้อเจ๊กี มีเพียงเจ้าเดียวในตลาดสดนี้ คล้ายปากหม้อทั่วไป แต่ที่พิเศษ คือ มีไส้มันแกว และกุ้งแห้ง เพิ่มเติมเข้ามานอกจากถั่วงอก และราดด้วยน้ำส้มเจืองที่เราชอบ ไม่เหมือนปากหม้อที่ไหนๆ ได้ครบทุกรสชาติ แถมมีหัวหมูพะโล้ให้กินคู่กัน ทำให้ปากหม้อที่ตรังมีทีเด็ดเข้าไปอีก
ข้อได้เปรียบของการตื่นเช้ามาชิม อากาศกำลังดี ลูกค้ายังไม่หนาแน่น แม่ค้ามีเวลาพูดคุย แนะนำร้านขนมจีนและข้าวยำป้านีที่อยู่หน้าวัดควนขัน และเมนูต่อไปเป็นอื่นไม่ได้นอกจากขนมจีนน้ำยาปู น้ำยาเข้มข้นแต่ไม่เผ็ดจนจัดจ้าน บนโต๊ะ นอกจากผักแกล้มที่ละลานตาตามแบบฉบับขนมจีนทางใต้แล้ว มีแกงไตปลาให้เติมได้ฟรี และอย่าคิดว่าของฟรีจะไม่ดีนะคะ เนื้อปลาชิ้นใหญ่รสชาติเข้มข้นถูกใจ ส่วนข้าวยำ ก็เด็ดไม่แพ้กัน เครื่องครบ กุ้งแห้งโปะมาบนข้าวยำแบบไม่หวง ราคาก็น่าคบหา 25-30 บาท ลูกค้าที่นั่งกินส่วนใหญ่จะเป็นคนในพื้นที่ ได้สนทนากับน้องชายท่านหนึ่ง พอทราบว่าเราเป็นคนต่างถิ่นก็ได้แนะนำ “มาถึงใต้ แต่อยากให้พี่ลองชิมข้าวซอยน้ำผุด รับรองพี่ไม่ผิดหวัง”
ปล. อาหารต่างๆ ที่ได้ไปชิมมา เป็นร้านข้างทางธรรมดาๆ ที่คนเดินดินกินข้าวแกงเป็นประจำ สามารถลองลิ้มชิมรสได้ทุกมื้อ เรื่องราวทั้งหมดจึงเป็นความคิดเห็น และรสนิยมส่วนตัว ไม่มีแสตนอิน ไม่มีสลิง ใดๆ นะคะ
เงื่อนไขการแสดงความคิดเห็น ซ่อน
โปรดอ่านก่อนแสดงความคิดเห็น
1.กรุณาใช้ถ้อยคำที่ สุภาพ เหมาะสม ไม่ใช้ ถ้อยคำหยาบคาย ดูหมิ่น ส่อเสียด ให้ร้ายผู้อื่น สร้างความแตกแยกในสังคม งดการใช้ถ้อยคำที่ดูหมิ่นหรือยุยงให้เกลียดชังสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์
2.หากพบข้อความที่ไม่เหมาะสม สามารถแจ้งได้ที่อีเมล์ online@naewna.com โดยทีมงานและผู้จัดทำเว็บไซด์ www.naewna.com ขอสงวนสิทธิ์ในการลบความคิดเห็นที่พิจารณาแล้วว่าไม่เหมาะสม โดยไม่ต้องชี้แจงเหตุผลใดๆ ทุกกรณี
3.ขอบเขตความรับผิดชอบของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ อยู่ที่เนื้อหาข่าวสารที่นำเสนอเท่านั้น หากมีข้อความหรือความคิดเห็นใดที่ขัดต่อข้อ 1 ถือว่าเป็นกระทำนอกเหนือเจตนาของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ และไม่เป็นเหตุอันต้องรับผิดทางกฎหมายในทุกกรณี