ก่อนหน้าจะมี “รัฐ” สังคมดำรงอยู่ได้เพราะปัจเจกบุคคลที่มีสำนึกร่วมกัน สำนึกนั้นก็คือ “คนทุกคนรักสุข เกลียดทุกข์” อันเกิดจาก “การเอาใจเขามาใส่ใจเรา” จึงไม่เบียดเบียนกัน เป็นสังคมในฝัน คือ “ไม่มีรัฐ”
ต่อมา...เกิดมี “มนุษย์ขี้ๆ” คือ ขี้เกียจ ขี้โกง ขี้อิจฉา ขี้โอ่อวด ขี้ขโมย จึงเกิดการเบียดเบียน แย่งชิง กดขี่ขึ้น ที่ยุคนี้เรียกว่า "อาชญากรรม" จนสมาชิกในสังคมไม่สามารถควบคุมและกำจัดได้ไหว จึงพร้อมใจกันมอบ “อำนาจ หน้าที่และสิทธิ” ให้แก่ “บุคคลและคณะบุคคล” ที่เหมาะสมเป็นหัวหน้าจัดการกับเรื่องดังกล่าว
เป็นการเลือกโดยมติมหาชน
ผู้ที่ได้รับเลือกไม่ต้องทำงาน สมาชิกในสังคมทุกคนจะแบ่งปันปัจจัยดำรงชีวิตของตนให้ เพื่อให้มีเวลาดูแลสังคมให้ดำเนินไปอย่างสันติสุข
ด้วยเหตุนี้"รัฐ รัฐบาล ภาษี" จึงถือกำเนิดขึ้น
“รัฐ” คือ เจตจำนงร่วมของสมาชิกในสังคม เพื่อกำจัดและป้องกันมนุษย์ขี้ๆ จึงเป็นเสมือน “เครื่องมือ” เพื่อให้สังคมมีสันติสุข
ส่วน “บุคคล” และคณะบุคคลก็คือ “รัฐบาล” เป็น “ผู้ใช้” เครื่องมือ(รัฐ)
ปัจจัยการดำรงชีวิตที่สมาชิกในสังคมแบ่งปันให้ผู้ได้รับเลือก (รัฐบาล) คือ “ภาษี” ในปัจจุบัน
"เจตจำนง" ของรัฐประการแรก คือ เพื่อกำจัดและป้องกันการเบียดเบียนกัน (อาชญากรรมต่างๆ) เพื่อให้สังคมมีสันติสุข
ต่อมาก็เพิ่มเติมขึ้นอีก คือ
๒. สร้างอรรถประโยชน์สุข (สร้างสิ่งอำนวยความสะดวก ปัจจัยดำรงชีวิต และโอกาสสำหรับประกอบสัมมาอาชีวะของพลเมือง
๓. พัฒนาศักยภาพของพลเมืองทั้งด้านร่างกายและสติปัญญา (การศึกษาและสาธารณสุข)
จากนั้นก็เพิ่มเติมเจตจำนงขึ้นอีก ตามจำนวนมนุษย์และความเลวร้ายที่แพร่กระจายมากขึ้น คือ
๔. ป้องกันภัยคุกคามจากภายนอกรัฐ (เพราะมีการเบียดเบียน กดขี่ แย่งชิงจากรัฐอื่น)
๕.ปกป้อง - สนับสนุนสิทธิและเสรีภาพของพลเมือง (เพราะมีการเบียดเบียน กดขี่ คุกคามจากรัฐบาลของตนเสียเอง!)
ในยุคปัจจบัน...สิ่งที่จะต้องพิจารณามี ๓ ประการ คือ
๑.ระบบ ระบอบ หรือลัทธิอุดมการณ์ใดบ้างที่สนับสนุนเจตจำนงของรัฐข้างต้น แล้วจึงนำมาใช้ หรือไม่ใช้ก็ย่อมได้ เพราะรัฐมีเจตจำนงหรืออุดมการณ์โดยตัวเองอยู่แล้ว เพียงแค่หา “วิธีการ” ที่จะทำให้รัฐบบรรลุถึงเจตจำนงเท่านั้น
๒. ผู้ปกครองดูแลรัฐ (นักการเมือง ข้าราชการ พนักงานของรัฐ) ที่จะปฏิบัติการให้เจตจำนงนั้นเป็นจริงให้สังคม (มีสันติสุข)
๓. วิธีที่จะได้ผู้ปกครองดูแลรัฐที่มีคุณภาพ
ยามใดที่ผู้ปกครองดูแลรัฐไม่ปฏิบัติตามเจตจำนง หรือปฏิบัติแต่ไม่ประสบผลต้องถือว่าหมดความชอบธรรม ไม่ต้องรอให้หมดวาระ
ยิ่งทำลายเจตจำนงของรัฐด้วยการคอรัปชั่น ตระบัตรสัตย์ หลอกลวง กดขี่ เขียดเบียน ฯลฯ คือก่ออาชญากรรมเสียเอง ต้องถือว่าเป็น “การทรยศต่อรัฐและพลเมือง”
โทษทัณฑ์ของคนเหล่านี้มีบัญญัติไว้ในกฎหมายนานแล้ว แต่ก็ดูเหมือนว่าพวกเขาไม่เกรงกลัวเลย โดยเฉพาะในปัจจุบัน นั่นเพราะ
๑. พวกเขาต่างก็มีบาดแผลแห่งอาชญากรรม จึงต้องทำเป็นไม่เห็นบาดแผลของกันและกัน ซ้ำกลับมีการปกปิดช่วยเหลือกันอีก
๒. พวกเขามีพลเมืองบางส่วนคอยปกป้อง ปกปิด แก้ต่าง และโจมตีใครก็ตามที่ชี้ให้เห็นบาดแผลของพวกอาชญากรที่อยู่ฝ่ายตน
"ความเลวร้ายในสังคม" หรือเหตุที่ทำให้สังคมไม่มีสันติสุขในปัจจุบัน นอกจากเกิดจากมนุษย์ขี้ๆแล้ว ยังเกิดจากพลเมือง (บางส่วน) สมคบคิดกับพวกอาชญากรทรยศต่อเจตจำนงของรัฐ!
ไม่ใช่ความผิดของสังคม ไม่ใช่ความผิดของรัฐ แต่เป็นความผิดของพวกอาชญากรและพลเมืองของรัฐ
วิธีแก้ปัญหานี้ก็คือ เป็นขี้ข้าและปกป้องพวกอาชญากรกันต่อไป ฝ่ายใครฝ่ายมัน!
(มีต่อตอนหน้า)
วิมล ไทรนิ่มนวล
เงื่อนไขการแสดงความคิดเห็น ซ่อน
โปรดอ่านก่อนแสดงความคิดเห็น
1.กรุณาใช้ถ้อยคำที่ สุภาพ เหมาะสม ไม่ใช้ ถ้อยคำหยาบคาย ดูหมิ่น ส่อเสียด ให้ร้ายผู้อื่น สร้างความแตกแยกในสังคม งดการใช้ถ้อยคำที่ดูหมิ่นหรือยุยงให้เกลียดชังสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์
2.หากพบข้อความที่ไม่เหมาะสม สามารถแจ้งได้ที่อีเมล์ online@naewna.com โดยทีมงานและผู้จัดทำเว็บไซด์ www.naewna.com ขอสงวนสิทธิ์ในการลบความคิดเห็นที่พิจารณาแล้วว่าไม่เหมาะสม โดยไม่ต้องชี้แจงเหตุผลใดๆ ทุกกรณี
3.ขอบเขตความรับผิดชอบของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ อยู่ที่เนื้อหาข่าวสารที่นำเสนอเท่านั้น หากมีข้อความหรือความคิดเห็นใดที่ขัดต่อข้อ 1 ถือว่าเป็นกระทำนอกเหนือเจตนาของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ และไม่เป็นเหตุอันต้องรับผิดทางกฎหมายในทุกกรณี