จึงอังลัก ข้าวพระรามลงสรง
ชุมนุมข้าวปลาจากรามเกียรติ์
ข้าวพระรามลงสรงอาหารจานเดียวรุ่นโบราณ ที่มีผู้สำรวจว่ายังหลงเหลือทั่วทั้งกรุงเทพฯ ประมาณ 15 เจ้า อร่อยบ้างไม่อร่อยบ้าง พอเหลือให้สืบทอดไม่ให้สูญหายไปจากสารบบ เมื่อก่อนมักจะเห็นขายควบกับหมูสะเต๊ะ เพราะน้ำราดพระรามลงสรงกับน้ำจิ้มหมูสะเต๊ะใช้เครื่องแกงสูตรเดียวกัน เพียงแต่น้ำจิ้มหมูสะเต๊ะจะเข้มข้นกว่า ส่วนประกอบของข้าวพระรามฯ ไม่เพียงมีแต่หมู ยังมีตับ หรือสั่งเป็นเนื้อก็ได้ ส่วนประกอบอื่นๆ เช่น น้ำพริกเผา พริกชี้ฟ้าสดหั่นยังมีเหมือนเดิมไม่เปลี่ยนแปลงมากนัก
เดิมทีน่าเป็นอาหารของมาเลเซีย เรียก Laksa Lemak ชาวจีนเรียกว่า “ซาเต้ปึ่ง” คำว่า “ซาเต้” สันนิษฐานว่าได้มาจากคำว่า “Satay” หรือ “สะเต๊ะ” ของอินโดนิเซีย ที่จีนไปรับอิทธิพลมาอีกทอดหนึ่ง รสดั้งเดิมจะไม่ค่อยเหมือนที่ทำขายกันในปัจจุบัน เนื่องจากสูตรเก่าของจีนจะเติม “ผงซาเต้” ไปด้วย จึงหอมระคนกลิ่นอายแขก ของเครื่องเทศผสมที่เรียก “การัมมาซาล่า” รสชาติค่อนข้างกระเดียดไปทางพะแนงมากกว่า เนื่องจากมีถั่วลิสงป่นผสมให้เข้มข้นขึ้นด้วย
ส่วนเนื้อที่ลวกใส่บนข้าวนอกจากเนื้อหมูหมัก กับตับหมูแล้ว ยังมีเนื้อวัวหมัก ให้เลือกอีกด้วย ปัจจุบันกระแสบางอย่างทำให้ความนิยมกินเนื้อวัวลดถอยไป
ผักบุ้งจีนสดรอลวก
มีผู้รู้ให้ความเห็นว่าพระรามลงสรงได้เข้ามาแพร่หลายในประเทศไทยตั้งแต่ในสมัยกรุงธนบุรี ด้วยสมเด็จพระเจ้าตากสินมหาราชทรงมีเชื้อสายจีนนั่นเอง บางท่านก็ว่าเข้ามาในสมัยรัชกาลที่ 3 เป็นยุครุ่งเรืองของการค้าสำเภาไทย-จีนติดต่อกันอย่างคึกคักกว้างขวาง จึงส่งอิทธิพลถึงเรื่องอาหารการกิน
พระรามลงสรงเป็นชื่อไทยที่ตั้งตามลักษณะของอาหาร คือ พระรามมีองค์เป็นสีเขียว เปรียบเสมือนกับการนำผักบุ้งมาลวกบนน้ำ คือ พระรามกำลังสรงน้ำนั่นเอง
ผักบุ้งลวก
พระรามลงสรงเป็นชื่อไทยที่ตั้งตามลักษณะของอาหาร คือ พระรามมีองค์เป็นสีเขียว เปรียบเสมือนกับการนำผักบุ้งมาลวกบนน้ำเดือด คือ พระรามกำลังสรงน้ำนั่นเอง ซึ่งเมื่อก่อนคนขายจะใช้วิธีกำผักบุ้งจีน จับตรงโคนแล้วจุ่มลงไปลวกในหม้อน้ำร้อนทั้งกำ จึงยกขึ้นใช้กรรไกรตัดผักบุ้งลวกออกเป็นท่อนๆ ถ้าหากใช้วิธีเด็ดยอดเป็นใบๆ อาจทำให้เสียเวลา แต่จะสามารถสัมผัสได้ถึงความแก่อ่อนจากตอนหักก้าน
อาม่าอายุ 90 กว่ายังนั่งเฝ้าร้าน
“ร้านจึงอังลัก” ข้าวพระรามลงสรงเจ้าเก่าแก่ที่สุดในประเทศไทยแห่งยุค (อาม่าเจ้าของร้านยืนยัน เพราะตัวอาม่าเองก็เป็นรุ่นที่ 3 แล้ว) ได้รับรางวัลใบประกาศเกียรติคุณติดทั่วร้าน แต่ตั้งแต่ย้ายร้านมาเปิดไม่นานจากจุฬาซอย 30 มาที่ Stadium One ลูกค้าก็ค่อนข้างน้อย (เคยย้ายร้านมา 4 ครั้งแล้ว หนแรกอยู่ที่ข้างโรงหนังเฉลิมบุรี (ปัจจุบันเป็นครัวกลาง) ครั้งที่สองอยู่แถวพระราม 4 ครั้งสุดท้ายมาที่ถนนบรรทัดทองอันเป็นที่ชุมนุมร้านใหญ่ๆ ทั้งหลาย ไม่ว่าจะเป็น โจ๊กสามย่าน หรือตั้งซุ่ยเฮง เพราะมีการเปลี่ยนแปลงเป็นย่านร้านทันสมัย อีกทั้งมีที่จอดรถสะดวกสามารถนำเข้าไปจอดในซอยจุฬาฯ พร้อมเสียค่าที่จอด แต่ถ้ามอเตอร์ไซค์จะมีที่จอดแบบไม่เสียเงินอยู่ตรงหน้าปากซอยก่อนถึงร้าน ตัวร้านค่อนข้างกว้างถึงแม้จะเป็นตึกแถวห้องเดียวก็ตาม บรรยากาศดูใหม่และสะอาดสะอ้าน ด้านหน้าจะมีตู้โชว์หมูแดงและหมูกรอบ รวมทั้งหม้อต้มน้ำซอสราดข้าวพระรามลงสรง และมีเตาหมูสะเต๊ะที่จะปิ้งกันสดๆ เท่านั้น ไม่มีปิ้งรอแล้วเอาไปอุ่นก่อนเสิร์ฟเหมือนอีกหลายๆ ร้าน
ข้าวพระรามลงสรง
เสิร์ฟมาในจานข้าวหอมมะลิเก่ากลางปีเพราะหุงนิ่มเป็นตัว ผักบุ้งจีนลวกและเนื้อหมูหมักลวกนุ่ม แล้วราดด้วยน้ำแกงพระรามลงสรงเข้มและโปะหน้าด้วยน้ำพริกเผาแบบจีนไม่เผ็ดนักอีก 1 ช้อน ก่อนกินคลุกเคล้าให้เข้ากันอย่างลวกๆ รสชาติค่อนข้างเข้มพอดี ไม่เค็มและไม่หวานจนเกินควร อย่างที่ร้านสมัยนี้นิยมปรุงรสจนเกือบจะเป็นน้ำเชื่อม กลิ่นอายหอมมันทำนองน้ำจิ้มหมูสะเต๊ะ มีน้ำพริกเผาช่วยเพิ่มสีสันและเพิ่มความจัดจ้าน รสชาตินี้คือรสออริจินัลแท้ๆ ซึ่งน่าเสียดายที่คนในปัจจุบันไม่ชอบรสชาติแบบนี้ แม้แต่เนื้อหมูจะออกเหนียวเพราะวิธีการหั่นและหมัก เพียงใช้เนื้อหมูสดไปลวกกับน้ำเดือด
เส้นหมี่พระลักษณ์ลงสรง
เปลี่ยนจากตัวข้าวมาเป็นเส้นหมี่ตามชอบ เครื่องปรุงและน้ำราดเดียวกัน ความอร่อยไม่แพ้กันเหมือนพี่น้อง ใครชอบเส้นก็สั่งเส้นหมี่ แต่ถ้าชอบข้าวก็สั่งพระรามลงสรง
สีดาลงสรง
หากจะเรียกกันไม่หวือหวานัก ก็คือเกาเหลานั่นเอง ใส่เครื่องปรุงและซอสเดียวกัน น่าจะตั้งชื่อเพื่อให้ฟังเป็นครอบครัวเดียวกัน
ข้าวหมูแดง
ข้าวหมูแดง ใส่มาครบทั้งหมูกรอบ กุนเชียงและไข่ต้มยางมะตูม น้ำราดกลมกล่อมหวานเค็มกำลังดี ไม่หวานจัดตามยุคสมัย เป็นผลพลอยได้จากการดัดแปลงน้ำราดพระรามลงสรง อันข้าวหมูแดงนี้หันไปทางไหนทั้งประเทศ จะเจอร้านขายข้าวหมูแดงไม่ยาก หากแต่ที่เป็นรสมือเก่านั้น นานทีปีหนจึงพบสักร้าน มาพบในกรุงเทพฯ ทำให้ไม่ต้องลำบากถ่อไปกินถึงนครปฐมหรือราชบุรี
หมูสะเต๊ะ
โดยพื้นฐานที่มีความเชี่ยวชาญในการจัดการกับเนื้อหมู การหมักการปรุงหมูให้เข้าเนื้อ เริ่มจากการหั่นหมูให้ถูกลายเนื้อ การหมักหมู โดยมากมักจะหมักในตู้เย็นข้ามวันจนกลิ่นรสซึมซับ การปิ้งหมูก็เป็นอีกทักษะหนึ่ง เพราะถ้าเลี้ยงไฟไม่ถูกจังหวะ เนื้อหมูจะกระด้าง ด้านน้ำจิ้มนั้นก็มีการแต่งเติมจากน้ำราดพระรามลงสรงโดยเพิ่มความเข้มข้น มีกลิ่นผงกะหรี่แซมจนฉุน ด้านอาจาดดูเหมือนง่ายๆ นั้นที่เคยเจอหากไม่หวานเกิน ก็เปรี้ยวเกิน อาจาดที่นี่รสลงตัวชนิดที่ลูกค้าต้องขอซ้ำ
กระเพาะปลาน้ำแดง
เสิร์ฟมาในชามกระเบื้องชามใหญ่พอควรโดยใช้กระเพาะชิ้นใหญ่เป็นชิ้นเป็นอัน ไม่ขี้เหนียวเห็ดหอม รสชาติโดยรวมแม้ตัวกระเพาะจะไม่ละเมียดนัก แต่ปรุงรสได้กำซาบต่อมรับรส วิธีกินแบบจีนโบราณมักจะเติมจิ๊กโฉ่วเพื่อเพิ่มความเปรี้ยวให้ตัดกับน้ำซุปที่ออกเหนียวเป็นยาง โรยเนื้อปูเป็นก้อน ตัวเนื้อปูสดดีไม่คาว กินตอนร้อนๆ รสชาติดี
โดยรวมแล้วถือว่าเป็นร้านต้นตำรับขนานแท้ ถ้าเป็นคนที่ชอบอาหารรสชาติเก่าแก่ ร้านนี้ควรค่าแก่การมาเยี่ยมเยือน
จึงอังลัก (ข้าวพระรามลงสรง)
655 ถนนบรรทัดทอง เขตวังใหม่ กรุงเทพมหานคร 10330
ใกล้ stadium one ติดกับร้านเจ้ศรี ก่อนถึงแยกเจริญผลตรงข้ามธนาคารออมสิน
600 ม. จาก BTS สนามกีฬาแห่งชาติ
โทร: 081-907-1485
https://maps.app.goo.gl/UqiTxsqBZ9CVyMgx5
แผนที่ มูฮัมหมัด พันธ์โพธิ์
ภาพ แพรไพลิน ศุกลรัตนเมธี
เงื่อนไขการแสดงความคิดเห็น ซ่อน
โปรดอ่านก่อนแสดงความคิดเห็น
1.กรุณาใช้ถ้อยคำที่ สุภาพ เหมาะสม ไม่ใช้ ถ้อยคำหยาบคาย ดูหมิ่น ส่อเสียด ให้ร้ายผู้อื่น สร้างความแตกแยกในสังคม งดการใช้ถ้อยคำที่ดูหมิ่นหรือยุยงให้เกลียดชังสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์
2.หากพบข้อความที่ไม่เหมาะสม สามารถแจ้งได้ที่อีเมล์ online@naewna.com โดยทีมงานและผู้จัดทำเว็บไซด์ www.naewna.com ขอสงวนสิทธิ์ในการลบความคิดเห็นที่พิจารณาแล้วว่าไม่เหมาะสม โดยไม่ต้องชี้แจงเหตุผลใดๆ ทุกกรณี
3.ขอบเขตความรับผิดชอบของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ อยู่ที่เนื้อหาข่าวสารที่นำเสนอเท่านั้น หากมีข้อความหรือความคิดเห็นใดที่ขัดต่อข้อ 1 ถือว่าเป็นกระทำนอกเหนือเจตนาของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ และไม่เป็นเหตุอันต้องรับผิดทางกฎหมายในทุกกรณี