ประเด็นความเกลียดชังและเลือกปฎิบัติที่คนผิวขาวกระทำต่อคนผิวดำในอเมริกานั้น เกิดขึ้นและเป็นข่าวอย่างต่อเนื่อง ทั้งที่จริงๆแล้วปัญหาการเลือกปฎิบัติเกิดขึ้นกับคนเอเซียในอเมริกาเช่นกันเพียงแต่ไม่ค่อยกลายเป็นข่าวเหมือนประเด็นความขัดแย้งระหว่างคนผิวดำและคนผิวขาว ทั้งนี้อาจเป็นเพราะคนเอเซียในอเมริกาค่อนไปทางรักสงบและไม่ค่อยอยากถูกจับจ้องจากสังคมมากนักขอเพียงแต่อาศัยอยู่ในอเมริกาอย่างสุขสงบก็เพียงพอแล้ว อีกทั้งเมื่อเกิดกรณีขัดแย้งระหว่างคนผิวขาวกับเอเซียหรือคนผิวดำกับคนเอเซีย สื่อมักไม่ค่อยให้ความสนใจเท่าประเด็นผิวขาว-ผิวดำ
คนเอเซียที่อาศัยอยู่ในอเมริการู้ดีว่า การเลือกปฎิบัตินั้นมีอยู่จริง การเลือกปฎิบัติในแต่ละกลุ่มเชื้อชาติจะแบ่งเป็นสี่กลุ่มคร่าวๆ คือผิวขาวผิวดำ เอเซีย และฮีสแปนิก ตั้งแต่เรื่องการคัดเลือกคนเข้าทำงานไปจนการเรียนต่อมหาวิทยาลัยระดับท็อปอย่างไอวี่ลีกส์ ไม่กี่ปีมานี้เองมีข่าวออกมาสร้างความฮือฮาว่า มหาวิทยาลัยชื่อดังระดับฮาร์วาร์ด มีนโยบายเลือกปฎิบัติต่อนักศึกษาเชื้อชาติอื่นอย่างเห็นได้ชัด
ทั้งนี้เพราะกฎเกณฑ์ของมหาวิทยาลัยฮาร์วาร์ดที่ดูอย่างไรก็จงใจกีดกันนักศึกษาเชื้อสายเอเชีย โดยการใช้นโยบาย"โควตาทางเชื้อชาติ" เพื่อจำกัดจำนวนคนเอเชียในมหาวิทยาลัยในปี 2009 มีการเปิดเผยว่า การที่คนอเมริกันเชื้อสายเอเชียจะเข้าเรียนที่ฮาร์วาร์ดได้นั้น จะต้องทำคะแนนสอบวัดความรู้เข้ามหาวิทยาลัยที่เรียกว่า SAT สูงกว่าคนผิวขาว140 คะแนน, มากกว่าคนเชื้อสายละตินอเมริกัน 270 คะแนน และมากกว่าอเมริกันผิวสีถึง 450 คะแนน ประเด็นคือทำไมถึงไม่ให้นักศึกษาทุกเชื้อชาติอยู่ใต้เกณฑ์เดียวกัน หลายคนอาจจะงง เอางี้..อธิบายง่ายๆ คือสมมุติตั้งคะแนนผ่านเกณฑ์ไว้ที่ 100 คะแนน นศ.ผิวขาวทำได้ 100 คะแนนถือว่าผ่าน ส่วนนักศึกษาเอเซียต้องทำให้ได้มากกว่า 100 คะแนนคือต้องสอบได้ 240 คะแนน ถึงจะมีสิทธิ์เข้าเรียนได้ส่วนนักศึกษาเชื้อสายละตินและผิวสี ไม่ต้องสอบให้ได้ถึง 100 คะแนนก็ถือว่าผ่าน แบบนี้ไม่เรียกว่าเลือกปฎิบัติจะให้เรียกว่าอะไร เมื่อเดือนกุมภาพันธ์ที่ผ่านมามีคดีสะเทือนใจสำหรับคนไทยในอเมริกา คือ คุณลุงวิชา รัตนภักดี ออกมาเดินออกกำลังกายยามเช้าในละแวกบ้าน แต่วัยรุ่นผิวสีอายุ 19 ปี ชื่ออองตวน วัตสัน วิ่งข้ามถนนพุ่งมาชนคุณวิชาสุดแรง ด้วยการเอาหัวโหม่งชนอย่างแรงจนคุณวิชาล้มคว่ำจนเสียชีวิตในเวลาต่อมา ไม่เฉพาะคุณลุงวิชาที่ถูกทำร้ายเกิดคดีการทำร้ายร่างกายคนเอเซียทั่วอเมริกา หนักสุดคือที่ซานฟรานซิสโก ที่เกิดคดีทำร้ายคนเอเซียแทบทุกวัน
เคสล่าสุดในซานฟรานซิสโก คนที่โดนทำร้ายเป็นชายเอเซียที่เดินกลับสำนักงานตอนบ่ายสองโมง อยู่ๆก็โดนทำร้ายร่างกาย แต่ที่ทั้งแสบตันมันฮาคือเคสนี้ไอ้หนุ่มผิวขาววัยสามสิบกว่าๆ เห็นอาม่าวัย 75 ยืนพิงเสาอยู่บนถนนมาร์เก็ต คาดว่าน่าจะรอข้ามถนน ไอ้หมอนี่ปรี่เจ้าไปชกเบ้าตาอาม่าเต็มแรง พลางตะคอกใส่ว่า “อีเจ๊ก” อาม่าร้องไอ๊ย๋า แล้วด่าล้งเล้งภาษาจีนว่า ไอ้จรจัด ลื้อทำอั๊วทำไมวะ แล้วอาม่าก็คว้าท่อนไม้แถวนั้นระดมฟาดหน้าหมอนี่รัวๆ สุดท้ายรถพยาบาลก็มาหามไอ้ผิวขาวไปโรงพยาบาล ภาพที่ทำให้ชาวโลกขบขันกันทั่วหน้าคือสายตาของไอ้หนุ่มผิวขาวมองอาม่าแบบไม่เชื่อสายตา ว่านี่กูแพ้อาม่าได้อย่างไร ทั้งสองเคสนี้เกิดขึ้นบนถนนสายเดียวกัน คือถนนสายสำคัญที่เรียกว่าถนนมาร์เก็ต ซึ่งเป็นย่านธุรกิจสำคัญในซานฟรานซิสโก
ล่าสุดมีการระดมเงินช่วยค่ารักษาอาม่าได้เงินเป็นล้าน คาดว่าอาม่าคงหายตกใจไปได้บ้าง แต่ที่เป็นคดีสยองขวัญและเห็นการเลือกปฎิบัติแบบเข้าข้างคนผิดได้ชัดคือ คดียิงคนเอเซียในจอร์เจียถึง 8 คน ไอ้หนุ่มผิวขาววัย 21 บุกเข้าไปในร้านนวดสามแห่งแล้วกราดยิง สรุปเคสนี้มีผู้เสียชีวิตทั้งหมด 8 คน รวมหญิงอเมริกันเชื้อสายเอเชีย อีก 6 คน ซึ่งมีการแถลงข่าวออกมาว่ามือสังหารเป็นคนเคร่งศาสนาและมีปัญหาโรคติดเซ็กซ์จนถึงกับต้องเข้ารับการบำบัด เหมือนพยายามปัดคดีนี้ไม่ให้เข้าข่ายคดีแห่งความเกลียดชัง ที่ทุเรศไปกว่านั้นคือเจ้าหน้าที่ที่ควรจะทำหน้าที่พิทักษ์ประชาชนกลับเข้าข้างมือปืน เจย์ เบเกอร์
หัวหน้าโฆษก สำนักงานเจ้าพนักงานปกครองเทศมณฑลเชอโรกี พยายามทุกทางที่จะไม่แจ้งข้อหาคดีแห่งความเกลียดชัง เพราะตัวเบเกอร์เองนั้นเคยโปรโมทเสื้อยืดด่าคนจีนเกี่ยวกับเรื่องโควิดเมื่อปีกลายทางเฟซบุ๊ค คดีนี้ตอกย้ำกระแสความเกลียดชังที่คนอเมริกันเชื้อสายเอเชียตกเป็นเป้าหมาย ซึ่งจริงๆ คนเอเซียก็โดนกระทำมานานแล้ว แต่เพิ่งคุกรุ่นขึ้นในช่วงวิกฤตโควิด นักเคลื่อนไหวเชื่อว่ามีสาเหตุมาจากการตีตราไวรัสโคโรนาเป็น “ไวรัสจีน” หรือเรียกว่าไวรัส“กังฟลู” โดยอดีตประธานาธิบดี โดนัลด์ ทรัมป์ กลุ่มสต็อป เอเอพีไอ เฮต เปิดเผยรายงานว่าระหว่างเดือนมีนาคมปีที่แล้วถึงเดือนกุมภาพันธ์ปีนี้ ผู้ตอบแบบสำรวจชาวอเมริกันเชื้อสายเอเชียเกือบ 70% บอกว่าเคยถูกล่วงละเมิดด้วยคำพูด และกว่า 10% เคยถูกทำร้ายร่างกายสถิติ ล่าสุดของคดีความเกลียดชังที่รวบรวมโดย FBI ของปี 2019 พบว่า มีจำนวนเหยื่อรวม 4,930 คนของคดี และจากทั้งหมดมีราว 4.4% เป็นคดีความเกลียดชังต่อชาวเอเชีย เทียบกับ 48.5% ของคดีความเกลียดชังผิวสีแอฟริกันอเมริกัน และ 14.1% ต่อชาวละตินอเมริกัน ส่วนรายงานล่าสุดของ STOP AAPI Hate หรือองค์กรยุติความเกลียดชังต่อชาวอเมริกันเชื้อสายเอเชียและหมู่เกาะแปซิฟิก คนอเมริกันเชื้อสายเอเชียในอเมริกา ตกเป็นเป้าของการถูกคุกคามหรือทำร้ายเนื่องจากความเกลียดชังด้านเชื้อชาติ หรือสีผิวมากกว่า 3,795 ครั้ง ภายในช่วงเวลาไม่ถึงหนึ่งปี
รัฐที่เกิดเหตุมากที่สุดถึง 45 เปอร์เซ็นต์ของกรณีทั้งหมด คือรัฐแคลิฟอร์เนียซึ่งรัฐนี้มีประชากรชาวอเมริกันเชื้อสายเอเชียอาศัยอยู่มากที่สุด และที่รองมาคือรัฐนิวยอร์ก ซึ่งมีรายงานการคุกคามถึง 14 เปอร์เซ็นต์ รายงานขององค์กร STOP AAPI Hate ระบุว่าการคุกคามด้านเชื้อชาตินั้นแบ่งออกเป็นสามลักษณะใหญ่ๆได้ คือการคุกคามด้วยคำพูด 68.1 เปอร์เซ็นต์ รองลงมา คือการแสดงความรังเกียจ 20.5 เปอร์เซ็นต์ และท้ายสุดคือการทำร้ายร่างกาย ซึ่งคนเอเชียตกเป็นเหยื่อถึง 11.1 เปอร์เซ็นต์แล้วหลังลาก็หัก เมื่อฟางเส้นสุดท้ายวางลงบนหลังลาคนเอเซียทั่วอเมริกาลุกขึ้นมาเคลื่อนไหวบอกโลกว่า “จะไม่ยอมทนนิ่งเงียบอีกต่อไป” มีการเดินขบวนทั้งที่จอร์เจียและทุกรัฐทั่วอเมริกาที่ซานฟรานซิสโก ที่ผู้คนหลายร้อยรวมตัวกันใจกลางย่านไชน่าทาวน์ ในพอร์ตสมัธสแควร์ ที่พิตส์เบิร์ก เพนซิลเวเนีย คนนับร้อยร่วมแสดงพลังส่วนที่ชิคาโก มีประชาชนราว 300 คนชุมนุมกัน ขณะที่ในนิวยอร์กซิตีฝูงชนหลายร้อยคนเดินขบวนจากไทม์สแควร์ไปยังไชน่าทาวน์อดไม่ได้ที่จะนึกประหลาดใจคนบางกลุ่มในประเทศไทยมักคิดว่า อเมริกาเหมือนดินเดนแห่งเสรีภาพและความเท่าเทียม แต่จากสิ่งที่เกิดขึ้นแสดงทำให้เห็นว่ายังมีการเลือกปฎิบัติอย่างไม่เท่าเทียมกันในอเมริกาแสดงว่าเสรีภาพและความเท่าเทียม เป็นเพียงวาทกรรมหรูๆที่สงวนไว้สำหรับคนผิวขาวเท่านั้นเอง มิใช่ความเท่าเทียมกันสำหรับทุกเชื้อชาติทุกสีผิวแต่อย่างใด
................................................
เงื่อนไขการแสดงความคิดเห็น ซ่อน
โปรดอ่านก่อนแสดงความคิดเห็น
1.กรุณาใช้ถ้อยคำที่ สุภาพ เหมาะสม ไม่ใช้ ถ้อยคำหยาบคาย ดูหมิ่น ส่อเสียด ให้ร้ายผู้อื่น สร้างความแตกแยกในสังคม งดการใช้ถ้อยคำที่ดูหมิ่นหรือยุยงให้เกลียดชังสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์
2.หากพบข้อความที่ไม่เหมาะสม สามารถแจ้งได้ที่อีเมล์ online@naewna.com โดยทีมงานและผู้จัดทำเว็บไซด์ www.naewna.com ขอสงวนสิทธิ์ในการลบความคิดเห็นที่พิจารณาแล้วว่าไม่เหมาะสม โดยไม่ต้องชี้แจงเหตุผลใดๆ ทุกกรณี
3.ขอบเขตความรับผิดชอบของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ อยู่ที่เนื้อหาข่าวสารที่นำเสนอเท่านั้น หากมีข้อความหรือความคิดเห็นใดที่ขัดต่อข้อ 1 ถือว่าเป็นกระทำนอกเหนือเจตนาของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ และไม่เป็นเหตุอันต้องรับผิดทางกฎหมายในทุกกรณี