อาวุธประเภทหนึ่งที่ลุงแซมใช้ตลอดเวลาคือการใช้วาทกรรมหรูๆ เวลาจะผิวปากเรียกลูกหาบลิ่งล้อไปรุมกระทืบชาติไหน มักต้องอ้างอิงถ้อบคำเหล่านั้นมาประกอบการกระทืบ คำหลักที่มักนำมาใช้คือ “สิทธิมนุษยชน” และ “ประชาธิปไตย”
หลักการด้านสิทธิมนุษยชนนั้นถือกำเนิดมาจากชาติตะวันตก ตั้งแต่ปลายสงครามโลกครั้งที่ 2 มีการลงนามของนานาชาติในกฎบัตรสหประชาชาติว่าสิทธิมนุษยชนเพื่อปกป้องสิทธิมนุษยชนขั้นพื้นฐาน ในศักดิ์ศรี และคุณค่าของมนุษย์ และในสิทธิอันเท่าเทียมกันของบุรุษและสตรี สำหรับมนุษย์ทุกคน โดยไม่คำนึงถึงเชื้อชาติ เพศ ภาษา หรือศาสนา" ฟังดูหรูหราหมาเห่ามากเลยใช่มั้ยล่ะ แต่เราค่อยๆ เปลื้องผ้าลุงแซมกันดีกว่า ว่ามีอะไรใต้ร่มผ้าลายธงชาตินั้นบ้าง
หมู่เฮาชาวไทยคงรู้ซึ้งดีกับคำว่าสิทธิมนุษยชน ของบรรดาองค์กรเอ็นจีโอต่างประเทศที่รับเงินต่างชาติ โดยเฉพาะอเมริกา ที่มักหลับตาข้างเดียวแล้วใช้คำหรูๆ อย่าง “สิทธิมนุษยชน” โจมตีอีกฝ่าย พี่เบิ้มอย่างอเมริกาใช้มุขนี้มาตลอด ล่าสุดเพิ่งจัดหนักกับพญามังกรไปหมาดๆ ไม่ใช่ประเด็นใหม่อะไรเลย เรื่องเก่าเอามาเล่าใหม่ทั้งนั้น
หนนี้นกอินทรีจิกพญามังกรเรื่องฝ้ายในอุยกูร์ เริ่มจากแบรนด์สินค้าสัญชาติอเมริกันชื่อดังอย่าง Nike ออกมาแสดงความวิตก ถึงการใช้แรงงานของชาวอุยกูร์อย่างไม่เป็นธรรมในเขตปกครองพิเศษซินเจียง เช่นเดียวกันกับอีกสองแบรนด์ยักษ์คือ Adidas และ H&M ที่ยืนยันว่าไม่สนับสนุนการละเมิดสิทธิมนุษยชนที่อาจจะเกิดขึ้นจากการบังคับใช้แรงงานในเขตซินเจียง
เท่านั้นแหละบรรดาลูกหลานพญามังกรโกรธเป็นฟืนเป็นไฟ เรื่องนี้มีเงื่อนงำเยอะแยะตาแป๊ะไก๋ อีกทั้งอเมริกาเองก็เป็นแหล่งปลูกฝ้ายหลักของโลกมาตั้งแต่สมัยยังไม่เลิกทาส ฝ้ายอเมริกันมักมีป้ายเกทับฝ้ายที่ผลิตจากประเทศอื่นว่า “ฝ้ายอเมริกันแท้ 100 เปอร์เซ็นต์”
ดารานักแสดงจีนที่เซ็นต์สัญญาเป็นพรีเซนเตอร์โฆษณาให้แบรนด์ไนกี้ อาดิดาส และเฮชแอนด์เอ็ม กระทืบเท้าปังดังทั้งโลก ประกาศยกเลิกสัญญาราคาแพงระยับอย่างไม่ใยดี กระแสการแบนยี่ห้อจากอเมริกาลามไปสู่ยี่ห้ออื่นอย่างเคลวินไคลน์และอีกหลายแบรนด์ดัง มีการผุดแฮชแท็ก ‘I support Xinjiang cotton’ จนกลายเทรนด์ยอดนิยมในเวยปั๋ว แพลตฟอร์ม e-commerce จีนอย่างน้อย 3 ราย ได้แก่ Pinduoduo, JD.com และ Tmall เลิกจำหน่ายสินค้าของ H&M ขณะที่นักแสดงชื่อดังอย่างหวัง อี้ป๋อ (Wang Yibo), หวง ซวน (Huang Xuan) และ วิกตอเรีย ซ่ง (Victoria Song) ต่างออกมาประกาศยกเลิกสัญญากับแบรนด์เหล่านี้ โดย ซ่ง ยังกล่าวย้ำด้วยว่า
“ผลประโยชน์ของชาติอยู่เหนือสิ่งอื่นใด”
นอกจากเรื่องการแบนแบรนด์อเมริกันแล้ว ระดับผู้นำประเทศยังจิกตีกันอุตลุด เพราะลุงแซมแกเป็นนักเลงคุมวินมอเตอร์ไซด์โลก เวลากจะกระทืบใคร มักกระดิกนิ้วเรียกลูกหาบไปรุม หนนี้ก็เหมือนกัน อียู อังกฤษ และแคนาดาต่างพยักหน้า แล้วรับไม้หน้าสามจากลุงแซมไปช่วยฟาด ประกาศมาตรการคว่ำบาตรเจ้าหน้าที่และหน่วยงานจีน จากนั้นตะคอกใส่อาเฮียว่า มีส่วนพัวพันกับการละเมิดสิทธิมนุษยชนมุสลิมอุยกูร์ในซินเจียง โดยกล่าวหาว่าจีนบังคับใช้แรงงานชาวอุยกุร์เก็บฝ้ายอย่างทารุณ
ดินแดนซินเจียงอันเป็นถิ่นที่อยู่ของชาวอุยกูร์นั้นเป็นแหล่งปลูกฝ้ายอันดับสอง รองจากอินเดีย อย่าลืมว่าอเมริกาเองก็ปลูกฝ้ายป้อนตลาดโลกเยอะเช่นกัน ไม่ว่าชาติไหนย่อมต้องปกป้องผลประโยชน์ชาติตัวเองก่อน แต่ปกป้องด้วยการไล่กระทืบพ่อค้าคนอื่นนี่จัดว่าทุเรศ
จีนนั้นโต้ทันควันพร้อมโชว์หลักฐานแก่สายตาชาวโลกว่า ก่อนกล่าวหาอั๊วก็ช่วยแหกตาดูหน่อยนะว่า เดี๋ยวนี้บ้านอั๊วพัฒนาแล้ว ใช้รถเก็บฝ้ายควบคุมด้วยคอมพิวเตอร์ ไม่ได้ใช้แรงงานคนอย่างที่ลื้อกล่าวหา
เรื่องนี้คุ้นๆ แฮะ จำเรื่องลิงเก็บมะพร้าวได้ไหม ที่อยู่ๆ ชาติตะวันตกก็แบนผลิตภัณฑ์จากมะพร้าวของไทย เพราะไทยโกยเงินลิ่วๆ ขายดีเป็นอับดับหนึ่งในโลก เลยเจอการกีดกันทางการค้าด้วยข้อหาทารุณลิง ทั้งที่ลิงเก็บมะพร้าวเนี่ย ไม่มีใครเอามาเก็ลใพร้าวแบบอุตสาหกรรมหรอก มันไม่ทันกิน แถมลิงพวกนี้ก็ชอบอู้งานจะตายไป แถมคนเลี้ยงก็ดูแลเหมือนลูก ให้กินทุกอย่างที่ให้ลูกตัวเองกิน
ที่ย้อนแย้งเป็นบ้าคืออเมริกาต้นตำรับสิทธิมนุษยชนเองนี่แหละ ไม่ยักส่องกระจกดูตัวเองบ้าง สมัยก่อนพ่อค้าทาสผิวขาวล่องเรือไปจับคนผิวดำในแอฟริกามาเป็นทาสในไร่ฝ้าย ซึ่งส่วนใหญ่อยู่ทางใต้ของอเมริกา บังคับขู่เข็ญทารุณสารพัด ไม่เคยจ่ายเงิน ข่มเหงข่มขืนตามใจ เพราะไม่ถือว่าผิดกฎหมาย ทาสไม่สามารถฟ้องร้องได้ต้องยอมทำทุกอย่างตามนายทาส นายทาสผิวขาวถือว่า ทาสผิวดำคือสมบัติเช่นเดียวกับเก้าอี้วัวหรือม้าจึงไม่มีสถานภาพเป็นมนุษย์ อยากจะทำอะไรก็ได้ นั่นรวมถึงอยากจะฆ่าก็จัดการได้เลย บางทีฆ่าแล้วแขวนโตงเตงบนต้นไม้ มองดูน่าสลดสยอง เมื่อเลิกทาสแล้วก็ทำเนียน ไม่เคยจ่ายค่าเสียหายค่าชดเชยแต่อย่างใด อเมริกานี่แหละต้นตำรับการละเมิดสิทธิมนุษยชนในไร่ฝ้ายของแท้และดั้งเดิม
ยังมีเรื่องฮากริบกว่านั้น อาทิตย์นี้เองมีข่าวล่ามาไว เล่นเอาบรรดาลิเบอรัลไทยตกใจไปทั้งสามโลก เพราะคิดไม่ถึงว่าดินแดนแห่งเสรีภาพและความเท่าเทียมอย่างอเมริกา มีการประกาศข่าวว่า ผู้ว่าการรัฐอาร์คันซอผ่านกฎหมายที่อนุญาตให้หมอ พยาบาล และสถานพยาบาลปฎิเสธไม่ให้การรักษาแก่บรรดากลุ่มรักร่วมเพศที่เรียกว่า LGBTG ได้โดยไม่ผิดกม. หากว่าขัดกับความเชื่อของตน ซึ่งไอ้ความเชื่อที่เว้นไว้ในฐานที่เข้าใจคือความเชื่อเรื่องศาสนา
สุดยอดไปเลยจ้า ยูโทเปียของชาวร่านไทย ไหนลองกลับไปอ่านย่อหน้าแรกของนิยามสิทธิมนุษยชนอีกทีดีไหม เดี๋ยวลากลงมาแปะตรงนี้ให้ดูอีกรอบก็ได้
สิทธิมนุษยชนมีไว้เพื่อ "เพื่อปกป้องสิทธิมนุษยชนขั้นพื้นฐาน ในศักดิ์ศรี และคุณค่าของมนุษย์ และในสิทธิอันเท่าเทียมกันของบุรุษและสตรี สำหรับมนุษย์ทุกคน โดยไม่คำนึงถึงเชื้อชาติ เพศ ภาษา หรือศาสนา"
แล้วประเทศที่ร่ำลือกันนักหนาว่าเคารพในเรื่องสิทธิมนุษยชนอย่างลุงแซมทำไมทำแบบนี้ล่ะ สะสางปัดกวาดเรื่องในบ้านก่อนดีไหม ก่อนจะชี้นิ้วเล่นงานใครด้วยอาวุธชื่อสิทธิมนุษยชน
เงื่อนไขการแสดงความคิดเห็น ซ่อน
โปรดอ่านก่อนแสดงความคิดเห็น
1.กรุณาใช้ถ้อยคำที่ สุภาพ เหมาะสม ไม่ใช้ ถ้อยคำหยาบคาย ดูหมิ่น ส่อเสียด ให้ร้ายผู้อื่น สร้างความแตกแยกในสังคม งดการใช้ถ้อยคำที่ดูหมิ่นหรือยุยงให้เกลียดชังสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์
2.หากพบข้อความที่ไม่เหมาะสม สามารถแจ้งได้ที่อีเมล์ online@naewna.com โดยทีมงานและผู้จัดทำเว็บไซด์ www.naewna.com ขอสงวนสิทธิ์ในการลบความคิดเห็นที่พิจารณาแล้วว่าไม่เหมาะสม โดยไม่ต้องชี้แจงเหตุผลใดๆ ทุกกรณี
3.ขอบเขตความรับผิดชอบของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ อยู่ที่เนื้อหาข่าวสารที่นำเสนอเท่านั้น หากมีข้อความหรือความคิดเห็นใดที่ขัดต่อข้อ 1 ถือว่าเป็นกระทำนอกเหนือเจตนาของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ และไม่เป็นเหตุอันต้องรับผิดทางกฎหมายในทุกกรณี